อ่านความเห็นของทุกท่านแล้วก็เพลินดีครับ
ส่วนเรื่องคำถามเกี่ยวกับสถาบันของน้องภัทร
ผมคงไม่ออกความเห็นอะไรแล้ว
เพราะเคยแสดงความเห็นไปหมดแล้วในจู๋อื่น
อีกอย่างนึงก็คือ ผมเคยเห็นน้องภัทรเอาพระราชดำรัสที่มีการตัดต่อ
แล้วมาเปรียบเทียบอยู่หนนึง ว่าพระราชดำรัสขัดแย้งกันเอง
ดังนั้นคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตอบ
ตราบใดที่ อคติ ในใจของน้องภัทรยังไม่หายไป
อคติ เมื่อผ่านไปนานๆ เข้า มันก็จะกลายเป็นความเกลียดชัง
และความเกลียดชังนี่แหละ ก็เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งกันในสังคม
............................................
เพิ่งดูหนังสารคดีเกี่ยวกับทิเบต
(กระแสฟรีทิเบต กำลังมาแรงแถวนี้)
เลยไปขุดหนังเกี่ยวกับทิเบตมาดูหลายๆ เรื่อง
คนทิเบต(ส่วนใหญ่เป็นพระ)ตายไปล้านกว่าคน
ในช่วงที่จีนเข้าไปยึดครอง
เด็กถูกบังคับให้ฆ่าพ่อแม่
ลูกศิษย์ถูกบังคับให้ฆ่าอาจารย์
วัดกว่าหกพันแห่งถูกทำลาย
ดาไลลามะ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
แต่เกือบหกสิบปีผ่านไป ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่จีนคิด
จราจลครั้งล่าสุดที่กรุงลาซาเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ให้เห็นว่า
รากเหง้าทางวัฒนธรรม ความเป็นพุทธของคนทิเบต
มันฝังรากลึกเกินจะหยั่ง มันไม่ใช่แค่ ไม่มีดาไลลามะ ไม่มีกษัตริย์
มันไม่ใช่แค่ ไม่มีวัด ไม่มีศาสนา แล้วจะสามารถปกครองจิตใจผู้คนได้
(ศาสนาเป็นเรื่องต้องห้ามของจีน
ณ ปัจจุบัน ประชากรจีนเกือบเก้าสิบเปอร์เซนต์ ไม่มีศาสนา
เพราะท่านประธานเหมาเชื่อว่า ศาสนา คือยาพิษ )
ดังนั้นทฤษฎี พ.ศ. 0 จึงไม่ใช่ทฤษฎีที่ถูกต้องอีกต่อไป
ผมได้แต่หวังว่า ผู้นำของขบวนการในไทย
จะเอากรณีของทิเบตล่าสุดมาศึกษา
และทบทวนกระบวนการต่างๆ
ที่พวกกำลังนำมาใช้อยู่กับประเทศไทย
เพราะประเทศไทยคงไม่ใช่เปิด
The little red book มาอ่านแล้วทำตาม
เพราะ The little red book ไม่ใช่คัมภีร์
แต่เป็นแค่เครื่องมือหนึ่้ง ในกระบวนการ
โฆษณาชวนเชื่อ ในตอนนั้น
ประวัติศาสตร์บอกเราว่า
ความรุนแรง การสร้างความขัดแย้งในสังคม
ไม่ได้เกิดประโยชน์ใดๆ และไม่เคยส่งผลดี
ต่อประเทศชาติ และจิตใจของผู้คนเลยสักนิดเดียว
เรียนรู้จากประวัติศาสตร์กันบ้างเถอะครับ