ใกล้เคียงกันครับ พี่โอ๋ เพียงแต่ว่า องค์ประกอบ การเล่นลาย การผูกลาย หรือลักษณะต่างๆจะไม่เหมือนกัน
เพราะแท้จริงแล้ว ลายไทย ลายพม่า ลายมอญ ลายลาว ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ทั้งนั้นครับ เรียกได้ว่า ต้นกำเนิดเดียวกัน
แต่ก็ใส่ความเป็นพื้นถิ่นแต่ละที่เข้าไป
ดูง่ายๆ วัดไทย วัดพม่า วัดมอญ วัดทางใต้ วัดทางเหนือ กลิ่นอายยังไม่เหมือนกันเลยครับ
ทั้งๆที่องค์ประกอบต่างๆทั้งหมด มีเหมือนกัน
จริงๆ ถ้ามาดูองค์ประกอบศิลปะไทย เราก็อาจแยกศิลปะไทยได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ศิลปะที่ตอบสนองต่องานชั้นสูง ศาสนา ราชสำนัก เช่นพวกงาน ช่างสิบหมู่ ช่างสล่า ทั้งหลายแหล่ เป็นต้น
2. ศิลปะที่ตอบสนองต่อความสุขในระดับรากหญ้า เช่น พวกเพลงเรือ เพลงฉ่อย การจักสาน ลายขัดแตะต่างๆที่ใช้ในของใช้ประจำวัน
งานในข้อที่ 1 แน่นอน อันนี้อย่างที่เต่าว่าไว้ มันเป็นของสูง(ของคนไทย)มานานแล้ว
สำหรับการต่อยอดในข้อนี้ ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก หากคนไทย ยังคิดว่า มันเป็นของที่ไม่ควรแตะต้อง มีครู
ดัดแปลงแล้วนอกคอก ไม่ยอมรับ สุดท้ายก็หายสาบสูญไป ไม่ก็รับถ่ายทอดแบบงุูๆปลาๆ ไปอย่างนั้น
จากความคิดส่วนตัว งานแบบนี้ควรอนุรักษ์ไว้ส่วนหนึ่ง คนที่เรียนรู้ก็เรียนรู้ให้จริงจัง ถ่ายแบบอนุรักษ์โดยตรงไปยังรุ่นต่อไปให้ได้
หากเราเ้รียนรู้อย่างจริงๆจังๆได้แล้ว การนำไปต่อยอด ก็สามารถทำได้อย่างถูกหลักและพัฒนาได้จริงๆจังๆนะครับ
ถ้าถามคนทั่วๆไป ที่เอาลายไทยมาใส่เพื่อให้งานเป็นไทย รู้หลักการผูกลายจริงๆมากน้อยแค่ไหน ผมว่าเกิน 70-80% ไม่รู้ขนาดนั้นหรอกครับ
งานถึงออกมาค่อนข้าง ขัดหูขัดตา พิกล
จริงๆการประยุกต์ลายไทย มีเกิดขึ้นเรื่อยๆนะครับ เพียงแต่บางทีเราเห้น แต่เราไม่รู็ว่ามันเป็นลายใหม่ ไม่ใช่ลายที่ใช้กันมาตั้งแต่เดิม
หรืออย่างงานสถาปัตยกรรมไทยของพระพรหมพิจิตร(ผู้ก่อตั้งคณะสถาปัตย์ศิลปากร) ก็เป็นไทยผสมตะวันตก ลายกระจังเป็นทรงเหลี่ยมตามแบบงานตะวันตก ซึ่งปัจจุบันก็เป็นซุ้มประตูอยู๋วัดพระแก้ว น้อยคนที่จะสังเกตออกว่ามันไม่เหมือนกับด้านอื่นๆ เป็นต้น
ส่วนข้อ 2 งานศิลปะในระดับรากหญ้า อันนี้ก็เหมือนกันกับที่ผมบอกไปแล้ว ว่าศิลปะของเรา มันอยู่บนรากฐานของการอยู่อาศัย
คนเราถ้ามีเวลาว่างจะทำงานพวกนี้ มันก็พัฒนาได้ แต่จิตสำนึกเรามุ่งไปทางอื่นหมดแล้ว
เรามุ่งไปเรื่องของการหากิน การดำรงชีวิต การใชชีวิตให้ทันกับคนในเมือง เราลืมความสุขกับผืนหญ้า สายลม และ สิ่งรอบตัวไปมากแล้ว
แต่จริงๆ มันก็มีแนวทางพัฒนาของมันไปนะครับ อย่างเพลงลูกทุ่ง มันก็พัฒนาของมันไปตามสภาพของสังคมในช่วงนั้นๆ
ซึ่งนี่แหละ มัีนก็คือ ศิลปะที่สะท้อนความเป็นคนไทย ในเวลานั้นๆ ออกมาได้ดีทีเดียวเลยแหละครับ
ถึงตอนนี้มันถึงวนไปในคำถามแรกๆนั่นแหละครับ ว่าจริงๆแล้ว การพัฒนาของงศิลปะไทย เส้นไหน ถึงจะเรียกว่า พัฒนา
เส้่นไหน ถึง จะเรียกว่า ไม่พัฒนา ระดับไหนถึงจะเรียกได้ว่า เจริญแล้ว อันไหนถึงเรียกได้ว่า ยังไม่เจริญ
เราต้องมีลายใหม่ที่ไม่ใช่ลายกนกก่อนใช่มั๊ย ถึงจะเีรียกว่า ต่อยอดได้แล้ว และถ้าไม่ใช่ลายกนก
แล้วอย่างไหนถึงจะยอมรับได้ว่า นี่แหละ ไท๊ยไทย
จริงๆ งานอิลลัสท์ถักเส้นไปมา ที่ใช้กันมากในศิลปินไทยในตอนนัี้ อีกหน่อย เวลาผ่านไปสัก 100-200 ปี
มันอาจเป้นลายไทยที่บ่งบอกถึงงานศิลปะแบบไทยๆในระดับสากลเลยก็ได้นะครับ ใครเห็นก็ร้องอ๋อเลยว่า นี่แหละ งานไทย
อย่าลืมนะครับ กว่าจะมีลายกนกใช้กันมา เราใช้เวลา 3-400 ร้อยปี ในการพัฒนาใช้ต่อเนื่องกันมาเลยนะครับ
แค่ 10-20 ปีที่ผ่านมา ผลมันอาจยังไม่เกิดจนเห็นชัดนักก็ได้นี่ครับ