จริงๆ การอ่านฉลากไวน์จะไม่มีความสำคัญเลย
ถ้าไม่มีคนทำไวน์ฝรั่งเศสปลอมขึ้นมา
เลยเป็นจุดเริ่มให้ผู้ผลิตไวน์
ต้องทำฉลากไวน์ให้ตรงตามข้อกำหนด
แล้วก็โชคดีที่สมัยนี้เรามี Google และ แอพเกี่ยวกับ wine บนมือถือ
การอ่านฉลากไวน์จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ตรงนี้ก็จะเล่าถึงข้อกำหนดที่ต้องมีในฉลากไวน์ฝรั่งเศส (ซึ่งถือเป็นกฎหมาย)
เริ่มต้นจาก ปริมาตรในขวด ซึ่งปกติ ก็มี 37.5 cl, 75 cl
หรือเป็น 150 cl (ถ้า 150cl เราจะเรียกว่าขวด Magnum)
ต่อมา ก็จะเป็น ชื่อ และที่อยู่ของผู้บรรจุไวน์ซึ่งบางทีอาจจะเป็นผู้ผลิตด้วยก็ได้
มาถึงตรงนี้คงสงสัยว่า คนบรรจุกับผู้ผลิตต่างกันยังไง
คืองี้ครับ วงการไวน์ฝรั่งเศสเนี่ยมันสืบทอดกันมายาวนาน
บางยี่ห้อก็เป็นผู้ผลิต ที่มีไร่องุ่นเอง (บางที่ไร่เดียวมีสามผู้ผลิตก็มี)
หรือบางทีก็เป็นผู้ผลิต ที่รับซื้อน้ำองุ่นจากไร่ต่างๆ มาทำไวน์ต่ออีกที
พูดง่ายๆ ว่าเป็นพ่อค้าคนกลางนั่นเอง
ซึ่งตรงนี้ ฉลากไวน์ฝรั่งเศสบางยี่ห้อ จึงมีโค้ดประหลาดๆ โผล่ขึ้นมา
เป็นตัวเล็กๆ ข้างๆ ขวด อย่าง JFV à 5600 หรือ L010110 อะไรทำนองนี้
ข้อมูลสุดท้ายที่จำเป็นต้องมี ก็คือสถานที่ที่ไวน์ถูกผลิตขึ้นมา
รวมไปถึง Vintage ซึ่งถ้าไม่มีตรงนี้
ก็จะถือเป็นไวน์ชั้น Vin de Table ทันที (ไวน์ทั่วไปคุณภาพอยู่ในลำดับล่างสุด)
แล้วจะเล่าเรื่องลำดับชั้นของไวน์ฝรั่งเศสในโอกาสต่อไป
อ่อ สิ่งที่ต้องมีเพิ่มเติมอีกอย่างนั่นคือเรื่องสารก่อภูมิแพ้ 14 ชนิด
(Gluten กุ้ง/ปู หอย ไข่ ปลา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วอื่นๆ งา นม มัสตาร์ด ขึ่นช่าย ซัลไฟด์ Lupin)
เพราะในยุโรปเพิ่งมีกฎหมายบังคับให้อาหารและเครื่องดื่ม
ต้องระบุสารก่อภูมิแพ้(ถ้ามี) บนฉลาก
ซึ่งในไวน์บางทีก็จะมี ซัลไฟด์ กับ ไข่
(งง ล่ะสิ ไข่มาได้ไง
คือสมัยก่อนเขาจะใช้ไข่ขาว
ทำให้ไวน์ใสขึ้น และทำให้ตะกอนจมลงก้นถัง)