บทความวิชา Communication Design V โดยอาจารย์ติ๊ก (Grafiction / Practical Studio) วิจารณ์ งานชิ้นสุดท้ายใน blog ของอาจารย์
ผมเคยได้อ่านข้อมูลอ้างอิงจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ว่า ในการอ่านคำๆ หนึ่ง
อาจไม่สำคัญว่าลำดับของตัวอักษรในคำๆ นั้นจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญอยู่ที่อักษรตัวแรกและตัวสุดท้ายที่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
ทำให้เรายังสามารถอ่านและเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้รับรู้ทุกตัวอักษร แต่เรารับรู้จากภาพรวมของคำ
เช่น ‘Legibility Raserch at Cmabrigde Uinervtisy’ ก็ยังสามารถอ่านเข้าใจได้ เรียกง่ายๆ ว่าเราอาจจะจำรูปทางกายภาพของคำๆ หนึ่ง
แล้วเชื่อมโยงไปสู่ความหมายของคำๆ นั้น โดยยิ่งเมื่อเกิดความคุ้นเคยในการอ่านมากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องสังเกตรายละเอียดหรือลำดับของตัวอักษรทุกตัว
ก็สามารถรับรู้ถึงคำๆ นั้นได้ ส่วนเรื่องตัวอักษรตัวแรกและตัวสุดท้ายนั้น อาจจะต้องอ่านวิจัยนั้นอย่างละเอียดจึงพอจะให้ความคิดเห็นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราจะเอาข้อสังเกตนี้มาวิเคราะห์กับภาษาไทยด้วย นั่นก็ต้องคิดเยอะทีเดียว…
ถ้าจะใช้แนวคิดจากงานวิจัยที่อ้างตอนต้นเราก็จะสร้างข้อความงงๆ ได้ว่า ‘กณุรา ดง สูบุบรี่’
ถ้าไม่เว้นวรรค ‘กณุราดงสูบุบรี่’ ก็จะยิ่งงงหนักเข้าไปอีก… แต่อ่านอีกทีก็พอได้นะ
แต่ประเด็นที่ผมจะพูดต่อจากนี้คือเรื่องความคุ้นเคยในการรับรู้หรือในที่นี้ก็คือ ‘การอ่าน’ ที่สืบเนื่องมาจากหัวข้อในการออกแบบของนักศึกษา
พูดให้ง่ายก็คืองานชุดนี้พยายามจะเปลี่ยนปฏิกิริยาแรกของคนที่มีต่อคำหรือประโยค จาก ‘การอ่าน’ ให้เป็น ‘การมอง’
เมื่อสิ่งที่คนเรามองเห็นไม่สร้างสภาวะคุ้นชินให้กับสมองว่าสิ่งนั้นคือภาษา การตอบสนองของเราอาจเปลี่ยนเป็นการมองมากกว่าการอ่าน
เปลี่ยนสภาวะจากตัวอักษรหรือคำไปเป็นภาพ สิ่งที่ผมสนใจไปกว่านั้นก็คือเมื่อเรามองไปซักพักกลับพบว่าสิ่งที่เรามองอยู่นั้น ‘อ่านได้’
ภาพที่เราเห็นกลับกลายเป็นข้อความที่เราเข้าใจได้ ความสามารถของกราฟิก ดีไซน์ ที่สามารถชะลอการรับรู้เชิงความหมาย เพื่อให้การรับรู้เชิงรูปแบบ
นั้นได้มีโอกาสเผยตัวสู่ผู้พบเห็น ซึ่งจำเป็นต้องจัดการกับความเคยชินต่อภาษาของผู้คนที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงความงามทางรูปแบบ
หลายครั้งที่ผู้คนเข้าใจว่าการออกแบบเชิงตัวอักษร (Typography) นั้นเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองการอ่านเท่านั้น
แต่ก็หลายต่อหลายครั้ง…ที่นักออกแบบพยายามนำเสนอผลงานออกแบบเชิงตัวอักษรที่ก้าวผ่านประเด็นการสื่อสารทางภาษาเขียน
กล่าวคือไม่ได้คาดหวังจะใช้ศักยภาพของคำหรือภาษาอย่างเดียว (ซึ่งสามารถสื่อสารได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม)
แต่ยังมองว่าตัวอักษร(ซึ่งเป็นผลผลิตการออกแบบอยู่แล้ว)ยังสามารถถูกจัดการเพื่อสื่อสารเชิงรูปแบบหรือความงาม
รวมไปถึงความสามารถในการสื่อสารเชิงอารมณ์และบริบทของการสื่อสารนั้นๆ อีกด้วย
ดังนั้นการบริหารจัดการเรื่อง ‘Ligebility’ ในงานออกแบบเชิงตัวอักษร จึงเป็นเหมือนการจัดการสัดส่วนในการสื่อสารของงาน
ระหว่างการสื่อความหมายเชิงภาษา สำนวน และอารมณ์ความรู้สึก ว่าในงานออกแบบชิ้นนั้นๆ ต้องการให้มีผลผลิตอย่างไร
สำหรับผลงานออกแบบชุดนี้ ใช้ข้อความที่เป็นคำเตือนหรือข้อห้ามสาธารณะมาใช้ การลดทอนรายละเอียดของตัวอักษรภาษาไทยให้มีความเป็นรูปทรงเรขาคณิต
อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการที่จะสร้างสิ่งเชื่อมโยงการรับรู้จากคำไปสู่ภาพได้โดยไม่ยากนัก รวมไปถึงการจัดองค์ประกอบที่ไม่ได้เป็นไปตามครรลองแบบการอ่าน
ทำให้ผลงานชุดนี้ประสบความสำเร็จในแง่การหันเหความสนใจของผู้ดูได้
แต่ทั้งนี้ยังมีคำถามให้ขบคิดต่อได้อีกว่า เมื่อสามารถเบี่ยงเบนความสนใจจาก ‘ใจความ’ ไปสู่ ‘รูปแบบ’ ได้แล้ว
รูปแบบนั้นให้สิ่งที่มีคุณภาพทัดเทียมและชดเชยกับความฉงนที่ตัวงานได้ให้ไว้หรือไม่?
และเมื่อนักออกแบบต้องการให้ผู้ดูกลับมา ‘อ่าน’ หลังจากได้รับสารเชิงรูปแบบแล้ว ผู้อ่านจะยังจะรับใจความนั้นได้หรือไม่?
นั่นเป็นสิ่งที่ต้องการเวลาต่อไปให้กับการเริ่มต้นนี้…
ระหว่างการเตือนหรือห้ามด้วยความงามและความปราณีต กับ การขู่กรรโชกโฮกฮาก เราจะให้ความร่วมมือกับใคร?
นึกต่อว่า… ถ้าเราติดตั้งงานชุดนี้บนผนังของโถงชั้นล่างของอาคารเรียนที่นักศึกษายังนิยมสูบบุหรี่ทั้งๆ ที่มีป้ายห้ามสูบบุหรี่ติดอยู่
เราจะได้รับความร่วมมือหรือเปล่า?
ผมเดาต่ออีกว่า… ยังไงก็ยังมีคนสูบบุหรี่ใต้ตึกอยู่ดี เพราะคนบางคน พูดจาดีๆ ก็ฟังไม่รู้เรื่อง…