หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 ... 19
 
ผู้เขียน หัวข้อ: คุณถาม จักรีตอบ  (อ่าน 87781 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้



เดี๋ยวปั๊ดจับกด  เกย์ออก
บันทึกการเข้า

Las Noches Rubicundior
 เกย์ออก/
บันทึกการเข้า

ความสวยไม่รับประกัน แต่ความมันเดี๊ยนรับรอง
เจ๊ถามบ้างนะ   กรี๊ดดดดด


"ตัวเอง รักเค้าเปล่า" 


<a href="http://video.google.com/googleplayer.swf?docId=-817732784087376716&amp;hl=en" target="_blank">http://video.google.com/googleplayer.swf?docId=-817732784087376716&amp;hl=en</a>
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
เกย์ออก/


กดน้ำ  เกย์ออก






พี่แอนนนนน  กร๊าก กร๊าก กร๊าก
บันทึกการเข้า

Las Noches Rubicundior
 เอือม อาย
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
พี่จักรีเล่นมุกแป้กให้คนยอมรับได้อย่างไรครับ
บันทึกการเข้า

지금은 소녀시대 , 앞으로도 소녀시대 , 영원히 소녀시대
พี่แอน วีดีโอมาได้จังหวะมาก กร๊าก กร๊าก
บันทึกการเข้า

บล็อกในมุมมืด
because we always.....expecting
+ จักรีจ้ะ น่ารักมาก  เกย์ออก

ขอให้เปิดร้านมีธุรกิจเ็ป็นของตัวเองสำเร็จในเร็ววันนะ  ไหว้

บันทึกการเข้า

กินทุกอย่างยกเว้นต้นหอมค่ะ
เกดจะรอกินจ๊ะ เกย์ออก

อ้อ ... ถามจักรีนะ สิ่งที่ทำมาตั้งแต่อดีต เช่น ทำร้านอาหารญี่ปุ่น ขายก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ

จนตอนนี้ทำงานที่ทำอยู่ปัจจุบัน อันไหนคือตัวตนของจักรีจ๊ะ เกย์ออก
บันทึกการเข้า

นานๆ จะเข้ามาที
อายจัง เจ๊แตนรู้ทัน  หื่น
บันทึกการเข้า

กินทุกอย่างยกเว้นต้นหอมค่ะ
ถามคุณจักรี
อยากทราบประวัติส่วนตัว ตั้งแต่ท้องพ่อท้องแม่จนถึงปัจจุบัน
ทำยังไงคุณจักรีถึงถีบตัวเองมีวันนี้คะ
คุณแอนเคยบอกว่าประวัติคุณจักรีน่าสนใจมาก
แล้วต้องการคนช่วยถีบไหมคะ

ไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะ ให้เวลา 24 ชั่วโมง ฮี่ๆ
ประวัติ ผม ก็ไม่มีอะไรมาก ไหนๆ ก็ให้เกียรติกันแล้ว งั้นก็ไม่เกรงใจเลยนะครับ
เอาตั้งแต่ก่อนเกิดเลยนะครับ
พ่อแม่ผมท่าน เป็นชาวนามาตั้งแต่สมัยเก่าก่อน ผืนดินที่เอาไว้ ปลูกข้าวเลี้ยงคนไทยมานานนมนั่นแหละ
 (ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงฐานะ เรียกได้ว่า จน ถึง จนมาก )  พ่อแม่ ท่านอาศัยอยู่ กันคนละหมู่บ้าน
 แต่หมู่บ้านทั้งสอง  ถูกกั้นขวางไว้ด้วยกำแพงกอไผ่ คลอง และทุ่งนาระยะทางประมาณ 7-8 กิโลดังนั้น 
จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ผมได้ถือกำเนิดเกิดมา อันนี้ก็ต้องยกความดีให้ทั้งสองท่าน
เมื่อผมได้ลืมตาดูโลกเพียงปีเดียวผมก็มีอายุหนึ่งขวบซะแล้ว.... เป็นเพราะผมเกิดวันที่ 22 เดือนมีนา
ท่านจึงตั้งชื่อให้ผมว่า จักรี  ซึ่งไม่เกี่ยวกับวันจักรีแต่อย่างใด  แม่ท่านให้เหตุผลว่า 
ก็นับไปอีกสิบห้าวันก็วันจักรี พอดี อืมๆ ฟังดูมีเหตุผล  เมื่อผม อายุได้ สองขวบ
พ่อแม่ผมก็มารับผมเข้ากรุงเทพฯ เดิมทีพ่อแม่ท่านไปทำงานเป็นหนุ่มสาวโรงงานอยุ่ที่นั่น
ตอนผมเกิดได้ไม่ถึงปี ทิ้งให้ผมอยุ่กับยาย
         
            ผมถูกพาเข้ามากรุงเทพฯ เข้ามา..... แล้วก็ผ่านเลยไป  ........ไปอยู่สมุทรปราการ 
ผมใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ ในสลัม (จำได้แบบรางๆ) และวิ่งเล่น บนลานปูนที่มองเห็น
แต่กองขยะกับรถที่วิ่งไปมาบนถนนที่อยู่อีกฝากของคลองเน่าๆ พอผมอายุ สามขวบ พ่อแม่ ของผม
ท่านลาออกจากงาน ด้วยเหตุผลที่ผมมารู้ทีหลังว่า ตา กับ ยาย ทำนา เพียงลำพัง    ........
ผมกลับคืนสู่ทุ่งนาอีกครั้ง  อื้ม  บ้านนอกเปลี่ยนไปหรือไม่ผมไม่รุ้ เพราะจากไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
 พ่อกับแม่ผม กลับบ้านนอก พร้อมกับรับบทบาทเดิมๆ คือ เกษตรกร เวลาว่าง ก็เลี้ยงควาย
ซึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด มี 4-5 ตัว เพราะพอผมโตขึ้นมา  ก็เหลือ   สองตัว  หนึ่งตัว และ ขายหมด ตามลำดับ 
         
              พ่อผมได้ทำอาชีพอีกอย่างที่ มันทำให้ผมมีอยู่มีกินและได้เรียน จนจบ ม.6 
นั่นคือการเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง เรียกได้ว่า ผมอยู่กับการเลี้ยงเป็ด มาตลอด จนเพื่อนๆที่ โรงเรียน
ทั้ง ประถม และมัธยม ต่างรู้ดี  แต่ก็เลี้ยงเป็นฤดูนะ บางครั้งก็ เลี้ยงหลายปี บางครั้ง2-3 ปีก็ไม่เลี้ยงเลย
แต่พ่อบอกว่า เลี้ยงเป็ด ทำให้เรามีกิน มีใช้ และเป็นอาชีพที่ครอบครัวเราทำได้ดีที่สุด
และผมก็มีความสุขเวลาได้เลี้ยงมัน ในช่วงเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด ที่ผมได้เลี้ยงเป็ด
ผมมีช่วงเวลานั่งฟังวิทยุ บนคันนา อ่านนิยายบางกอก  นั่งคิดอะไรเพ้อเจ้อ พูดกับต้นไม้ใบหญ้าเหมือนคนบ้า
ตกเย็น ก็รอนับเป็ดที่เดินเรียงแถวกันเข้าเล้า พอมืดหน่อยก็ก่อกองไฟ เป่าขลุ่ยตีกลองร้องเพลงเรื่อยเปื่อย
และนั่นทำให้ผมมีโอกาสได้ ฟัง ละครวิทยุของคณะ เกศทิพย์  ที่ โด่งดัง และมีความสุขที่สุดคือตอนรุ่งเช้า
ที่ต้องเข้าไปเก็บไข่เป็ดในเล้า  1 ไข่ 2ไข่ ...ไปจนถึง 400 500 บางครั้งเป็นพันฟอง
เป็ดจะไข่ทิ้งไว้ในเล้าเต็มไปหมด มองเข้าไปจะเห็นสีขาวดูละลานตา โอ้ว คิดถึง ช่วงเวลานั้น แล้ว ดูมีความสุขดี
เมื่อผมจบ ป.6 จาก โรงเรียน ในหมู่บ้าน ผมก็ ได้มีโอกาสได้ไปเรียนในตัวอำเภอ แต่ก็ยังใช้ชีวิต
อย่างเด็กบ้านนอก ที่ควรจะเป็นอยุ่ มีเพื่อนมีฝูง ออกวิ่งเล่นตามทุ่งนา หาวิดปลา แขวนเบ็ด ยิงนก ขุดหนู

จริงๆในช่วงนั้นไม่ได้เลี้ยงเป็ดแล้ว  ผมกลายเป็นเด็กวัด ตั้งแต่ป.6 และได้วนเวียนอยู่ที่นั่น จน ถึงม.2
ใช้ชีวิตที่เด็กวัดควรจะเป็น พอสมควร  พอพ่อเริ่มเลี้ยงเป็ดอีกครั้งผมก็กลับมาช่วยท่าน และอยู่กับท่านและน้องสาวที่เกิด
ห่างจากผม 6 ปี (จริงๆแล้ว เมื่อถึงฤดูทำนาผมก็ออกจากวัดมา ช่วยพ่อแม่ทำนาจนเสร็จนั่นแหละ แต่ยังกลับไป วัด
กินข้าววัด นอนที่วัด รับบาตรพระอยุ๋เหมือนเดิม )
           ด้วยความที่ผมเป็นผม การที่จะให้ อยุ่เลี้ยงเป็ดทำนาอย่างเดียว  ผมมองไม่เห็นตัวเงิน พอขึ้น ม.3
ช่วงปิดเทอม ผมก็ติดสอยห้อยตามรุ่นพี่ๆม.ปลายในหมู่บ้าน ออกไปทำงานก่อสร้างตามต่างอำเภอ ทั้งแบกปูน ยกหิน ตักทราย 
ได้ค่าเทอมมาแบ่งเบาภาระพ่อแม่ สี่ซ่าห้าร้อย ไม่ได้เยอะอะไรแต่ที่ได้แน่ๆคือความภูมิใจอย่างหาที่เปลียบไม่ได้
ด้วยความทะเยอทะยาน เมื่อปิดเทอม ทุกครั้งก็จะออกหางานทำ แต่จะออกแนวงานที่ต้องใช้แรงงานซะส่วนใหญ่
ทั้งปลูกมันตัดอ้อย ไถนา ดำนาเกี่ยวข้าว สีข้าว เอาทุกอย่างที่ขอให้ได้เงิน แต่ ก็ยัง ไม่เคย ได้ออกไปไหนไกลๆ 
จนกระทั้ง เมื่อเริ่มเข้า ม. 4 เทอม สอง ผมได้ทำเรื่องที่พลาดอย่างใหญ่หลวง ประพฤติตัวเหลวแหลก
และมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผม ต้องบอกตัวเองว่า ต้องหยุดพฤติกรรมนี้ซะที คือแม่ผมท่านร้องไห้ เพราะผมโดน
ครูจับได้เพราะกินเหล้าในห้องเรียน  ก็จะไม่ให้จับได้ได้ไง ก็เหล้าขาว เป็นลังๆ กินกันหมดทั้งห้อง เมากันระเนระนาด   
แต่กลับตัวก็ไม่ทันแล้ว ผลสอบออกมา ตกวิชาฟิสิกส์ โอ้ว ชั่วโมงนั้น เป็นอะไรที่ใหญ่โตมาก ผมเก็บเสื้อผ้า
หนีตามรถขายของ สิบเก้าบาท ที่ตะเวนขายตามจังหวัดต่างๆ ด้วยการนอนอยุ่บนหลังคารถ
(เป็นกระบะที่มีหลังคาและเอาของวางบนหลังคาสูง ยังกับรถบรรทุก )  ผมทำงานกับ เฮีย และ เจ๊ เจ้าของกิจการขายของ
 ราคา 19 29 39 เร่ไปตามงานวัดต่างๆ ตามจังหวัดต่างๆ  แลกกับเงินวันละ 100 บาท  เดินทางข้ามจังหวัด
ด้วยการซุกตัวอยุ่บนหลังคาคอยจับสายไฟเวลาที่รถเข้าตรอกซอกซอย ฝนตกแดดออก ก็ต้องอยู่จนเกิดเหตุการณ์
ที่ทำให้ผมต้องจำไปตลอดชีวิต เมื่อครั้งเดินทางไปขายของ ที่จังหวัดเชียงใหม่  เฮียกับเจ๊ 
เกิด มีปากเสียงกันขึ้นถึงขนาดทะเลาะตบตีกัน เรียกว่า ใครอยุ่ใกล้ๆโดนหมด แน่นอน ผมก็โดนด้วย
ผมระเห็ดหนีจากความร้ายกาจของอารมณ์เฮีย ไปสู่เส้นทาง ที่เรียกว่า หลง  อื้ม หลง ใช่ครับผมหลงเชียงใหม่   
แถมอยู่ในภาวะตกใจ และงง สุดๆ ไม่มีที่จะไปซ้ำร้ายถ้าจำไม่ผิด มี สตางค์อยู่ในกระเป๋า ประมาณ 12-13 บาท 
จำได้รางๆว่าเดินผ่านแฟลต ทหาร ของค่ายกาวิละ (หรือเปล่าไม่แน่ใจ)  ข้ามทางรถไฟ แล้วก็เลาะไปเรื่อยๆ 
โชคดีในความโชคร้าย ที่ เจอวัด ซึ่งเป็นวัดที่ เฮีย เคยพามา เป็นที่ที่เดียวที่เคยมาในเชียงใหม่
นอกจากบ้านญาติของเฮียที่สันกำแพง  ผมโชคดี และ ตอนนั้น ก็เย็นมากแล้ว ผมก็ เข้าไป ขอเขานอนที่วัดนั้น 
หลวงพ่อท่านชราภาพมากนั่งอยู่บนรถเข็นด้วย ถ้าจำไม่ผิดนะ เณร จึงเป็นธุระจัดหาที่ให้ผมนอน 
ซึ่ง ให้ผมนอนบนโบสถ์ นั่นแหละ ก็พาผมขึ้นไป   ในโบสถ์ก็จะมีรูปเหมือนเท่าตัวจริงของเจ้าอาวาสองค์ก่อนๆ สี่ องค์
ที่มีทั้งยืนและนั่ง ... เณรไปหามุ้งมาให้ผมเป็นมุ้งสีเขียวแบบทหาร พร้อมกับเชือกฟางสีแดงยาวประมาณหนึ่งวา 
อืม  ก่อนนอนคืนแรกผมยังจำได้ดี  กลัวก็กลัว คิดถึงบ้านก็คิดถึง และก็เริ่มตัดสินใจกางมุ้ง  แต่พอจะเริ่มกาง ก็
 ........เฮ้อ เชือกฟางยาวหนึ่งวา กับ เสาโบสถ์ขนาดสองคนโอบ และระยะห่างระหว่างเสาก็ เกือบ 20 เมตร
 เวรกรรม!! ก็เลยนอนห่มมุ้งไปตามระเบียบ ผมใช้เวลาอยู่ ที่วัดแห่งนี้ นาน 11 วัน ถ้าจำไม่ผิด 
อะ ลืมบอกไป วัดนี้ ชื่อวัดเมืองกาย  ใครเป็น คนเชียงใหม่ รุ้จักกันมั้ย?  ผมใช้ชีวิตอยุ่ที่นั่น 11 วันโดยประมาณ
ได้ความรู้ใหม่ๆ มีเพื่อนเป็นเณร ที่มาคุยด้วยทุกคืนและก็กลับจำวัดตอนเที่ยงคืน  ทุกวัน 
ในระหว่างนั้น ผม ท้อมากๆ คิดว่าตัวเองคงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ คิดถึงพ่อแม่ และน้อง เพื่อนๆ โอ้ย ใจจะขาด...
ตอนนั้นโทรศัพท์ไม่เป็น แถมไม่รุ้จะโทรไปหาใคร แต่ เดชะบุญ ฟ้ายังมีตา เฮีย กับ เจ๊  คืนดีกัน 
และออกตามหาผม และที่แรกที่เขาตามหา ก็คือวัดนี้ ที่ผมเคยมากับเขา  แล้วก็เจอผม  ถือว่าเป็นโชคดีของผม
ผมกลับบ้านอย่างปลอดภัย และเนื่องจาก เดินทางข้ามจังหวัดระยะทางไกลๆ เฮียกับเจ๊มักไม่เอาของขึ้นหลังคา
ผมจึงได้นั่งข้างล่างอยู่ที่กระบะ โดยแทรกตัวเป็นช่องเล็กๆเหมือนเกรี่ยงอพยพ   แต่ตอนกลับ จิตใจเบิกบาน
ลาเพื่อนเณร หลวงพ่อเรียบร้อย แต่ก็ไม่กล้าร้องไห้ จน ได้ขึ้นมานั่งบนรถโดยที่มี เฮียกับเจ๊ นั่งข้างหน้า
ผมนั่งคนเดียว น้ำตาจึงได้ไหลพรากๆออกมา โหยเรื่องไม่เศร้า.......

บอกกลับตัวเองว่า ผมจะกลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง และจะไม่กลับมาในสภาพแบบนี้....
จากวันนั้นมาจนวันนี้เป็นเวลา  7 ปี ก็ ไม่เคยไปเชียงใหม่อีกเลย........

เอาละครับ อันนี้ชีวิตที่เดินทางมาถึงแค่ในช่วงมัธยมหยิบยกเอามาแต่วีรกรรมที่ อยากจะเล่า และตรึงใจมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ประวัติในช่วง จบม.6 จนถึงสาเหตุที่เข้ามาเรียน ในเมื่อกรุง ผมเรียกเมืองกรุงแล้วกัน เพราะผมเรียนอยู่ในเขตปริมณฑล......
เรียกว่าเริ่มโตแล้ว แต่ ก็ยังมีนิสัย ทะเยอทะยาน อยากทำนู่นทำนี่อยู่เหมือนเดิม....   

จริงๆแล้ว ผมเคยเล่าไว้ใน จู๋  หารายได้ระหว่างเรียน แล้วครั้งหนึ่ง แต่ ไม่ได้ เรียบเรียง เป็นขั้นเป็นตอนอะไรมาก 
และบางอย่างก็เริ่มลืมๆไปแล้ว เพราะทำหลายอย่าง. ดังนั้นถ้ามีคนอยากอ่านต่อ เดี๋ยวผมจะมาเล่าต่อ ...............
แต่มันไม่ค่อยสนุก เท่าไร หรืออ่านไม่รุ้เรื่องบ้าง ก็ทนๆอ่านหน่อยนะครับ  เอือม  ออกจะดราม่าหน่อยๆโทษทีนะครับ  ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
พรุ่งนี้ค่อยมาอ่าน  อี๋~

เยอะเกิ๊น 

ปล.  แล้วเลาเก็บไข่เป็ดนี่  นับพลาดไม่ได้ใช่มั้ยคะ  กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

อันโตนิโอกะเมโระ ~~
เพิ่งเคยได้อ่านที่แจ๊กกี้เขียนจริงๆจังๆ





นับถือจริงๆ

แล้วว่างๆมีตัง แล้วค่อยไปเชียงใหม่เนอะ
บันทึกการเข้า

Las Noches Rubicundior
บวก โดนใจอย่างไร สาระมากมายพี่จักรี
ชีวิตพี่มันคนสู้ชีวิตจริงๆครับ เจ๋ง

ถ้าได้ไปเชียงใหม่คงมีอะไรดีอีกมากมายครับ

ไปอ่านจู๋งานพิเศษมาเพิ่มเติม
พี่จักรีทำงานได้สุดยอด อดทนมากเลย
ที่เค้าว่าเลี้ยงมาต่างกัน ปสก มันต่างกัน นี่มันเป็นแบบนี้นี่เอง

อ่านแล้วตัวเองเลวไปจริงๆ ฮือๆ~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 ต.ค. 2007, 01:50 น. โดย มุมมืด ฟืดฟาด ฟืดฟาด » บันทึกการเข้า

บล็อกในมุมมืด
because we always.....expecting
โอว ดราม่ามาก อ๊ากกกก หื่นนนนน

เดี๋ยวจักรีเป็นนายกเมื่อไหร่ เรื่องแบบนี้แหละที่จะขายลงพ็อกเก็ตบุ๊กได้ ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 ... 19
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!