อย่างแรกที่ชาวบ้านเขาพูดถึงบ่อยๆจนเป็นแผ่นเสียงตกร่องคือ การเรียนออกแบบ
กับการเรียนใช้โปรแกรมคอมพิวเต้อสำหรับการออกแบบเป็นคนละอย่างกัน
การออกแบบเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ มากกว่าที่มันจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาปีแรกเลย ทุกคนจะต้องได้เรียนพื้นฐานที่เรียกว่า "ทักษะทางศิลปะ"
เราจะได้เรียนวาดเส้น เพ้น ปั้น เขียนแบบ ในช่วงเกือบๆสองปีแรก อันนี้แต่ละที่ก็เน้นมากน้อย
แตกต่างกันไป ผมพอจะได้ยินของทุกที่ เพราะแถวนั้นมีคนที่ซิ่วเรียนที่อื่นมาก่อนแทบจะครบทุกที่
ส่วนมากเดี๋ยวนี้วิชาวาดเส้นเน้นในเชิงสร้างสรรค์เปิดให้ใช้วิธีการแบบคอลลาจ หมึก เล่าเรื่อง ฯลฯ
ผสมผสานตั้งแต่เริ่มเรียน เพื่อให้สอดรับกับวาดเส้นแบบนิเทศศิลป์ ซึ่งเน้นใช้ความคิดสร้างสรรค์
แต่ที่ผมเรียนมาไม่มีอะไรแบบนั้นเลยในปีแรกๆ จะเป็นการเรียนวาดเส้นพื้นฐานอย่างเดียว
เช่น วาดหุ่นนิ่งชนิดต่างๆในสตูดิโอ ไปวาดวัดวา ต้นไม้ ป่า ทะเล อยุทธยา ฯลฯ
จนมาถึงโหมดวาดคนแบบต่างๆเป็นอันสุดท้าย ซึ่งหินสุด
เพ้นก็เรียงลำดับต้นไม้ใบหญ้าเหมือนกันกับที่ว่ามา ปั้นก็ด้วย ไอ้ช่วงทัวร์ไปเขียนรูปตามที่ต่างๆนี่
ผมว่าเป็นช่วงชีวิตที่น่าจดจำที่สุดช่วงหนึ่งเลย ไอ้เรื่องราวทั้งหลายแหล่ในหนังหรือในนิยาย
เกี่ยวกับคนเรียนศิลปะก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้แหละ หมายถึงเพื่อนๆผมมันจีบกัน
-ได้กันก็อีตอนนั่งเขียนรูปข้างๆกันนี่แหละ
(แต่ทั้งหมดนี่ เทียบกัับจิตรกรรมแล้วถือว่ากระจิริดมะเขือเผาไปเลยนะครับ
อาจารย์จิตรกรรมบางท่านยังวิจารณ์เลยว่า วาดเส้นสร้างสรรค์ของคณะมัณฑนศิลป์
เรียนในปีสองนั้นเร็วไป!?)
ในขณะเดียวกัน วิชาอื่นๆในช่วงปีแรก นอกจากทักษะแล้วสิ่งสำคัญที่นักออกแบบต้องมี
ก็คือ "ความเข้าใจ" ในระดับพื้นฐานก็คือความเข้าใจในความงาม ว่าไอ้ที่เราว่างามนั้น ทำไมถึงงาม
อะไรคือความงามกันแน่ วิชาคลาสสิคที่สุดของศิลปากรคือ วิชาสุนทรียศาสตร์ ซึ่งสอนโดย
อาจารย์ที่เฮี้ยนที่สุดที่ผมเคยเจอมา เป็นด็อกเต้อนักวิชาการและนักวิจารณ์ศิลปะที่กระโดดเหยงขึ้นไปนั่งยองๆ
บนโต๊ะเล็กเช่อได้ขณะบรรยาย (นึกถึงห้องเล็กเช่อใหญ่ๆคล้ายๆโรงหนังแล้วอาจารย์กระโดดขึ้นไปนั่ง
เหมือนหลวงพ่อคูณบนโต๊ะแล้วบรรยายสิ) ลีลาการพูดที่เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนทิมเบอร์ตั้น
เรื่องเพี้ยนๆเกี่ยวกับอาจารย์ท่านนี้เยอะมากจนผมไม่รู้จะบรรยายเป็นภาษามนุษย์ยังไง
แต่เห็นยังงี้สอนดีมากนะครับ ใครๆก็รัก ชื่อของแกคือ รองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ไพโรจน์ ชมุนี
(ตำแหน่งนำหน้ายาวกว่าชื่อนามสกุลอีก) แกเกษียณปีนี้แล้ว เดือนตุลานี้แหละ น่าเสียดายมาก
สิ่งที่เราได้นอกจากจะเป็นการตั้งคำถามกับความงาม ซึ่งเป็นคำถามที่ซับซ้อนที่สุดอย่างหนึ่ง
ของมนุษย์ ยังตั้งคำถามกับรสนิยม ว่ามันคืออะไรกันแน่ ผมว่ามันเป็นแกนกลาง
ของการเรียนศิลปะเลยก็ว่าได้ มันสามารถทำให้เราตั้งคำถามชนิด "ว่ากันให้ถึงที่สุด"
ได้ว่าที่เราเรียนมาทั้งหมดที่ว่าสวย ว่าดีนั้นมันคือ"กลุ่มรสนิยม"กลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แถมมันอาจจะเป็นกลุ่มรสนิยมของอาจารย์ที่ตรวจให้คะแนนเราก็ยังได้ พอบอกว่าศิลปะ
ไม่มีถูก มีผิด อ้าว แล้วอาจารย์เอาอะไรมาให้คะแนนเราล่ะ คำถามเหล่านี้ล่ะครับ ที่เราจะได้ค้นหาคำตอบ
แล้วการตั้งคำถามพวกนี้ ก็ทำให้เราตั้งคำถามกับผลงานตัวเอง รสนิยมตัวเอง
อะไรที่เราเห็นว่าสวย ทำไมเราถึงว่ามันสวยล่ะ? อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่านำไปใช้ได้ตลอดชีวิต
การทำงานเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ทุกชนิดเลย ไม่ต้องเอาเรื่องการทำงานก็ได้
การเสพผลงานศิลปะรอบๆตัวทั่วไป อย่างการดูหนัง การฟังเพลง การรับรู้เข้าใจความงาม
ความไพเราะ ยิ่งอยู่กับมันมากเท่าไหร่ ตั้งคำถามมันมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งละเอียดกับมันมากยิ่งขึ้น
สิ่งนี้มันส่งผลถึงผลงานตรงไหนเหรอครับ เอาง่ายๆนะครับ
ในการค้นหาสไตล์ของตัวเราเอง มันย่อมเริ่มจากความรู้สึกของเราว่า
อันนี้สวย อันนี้ห่วย อันนี้ไม่เพราะ อันนี้เจ๋ง อันนี้แปลก อันนี้สนุก
ความรู้สึกพวกนี้ทุกคนสะสมมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าประสบการณ์ทางสุนทรียศาสตร์
ทุกครั้งที่เราไปเดินร้านหนังสือ ตอนดูงานกราฟิกหรือเรื่องราวในนิตยสาร
ตอนเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เห็นคนตามถนนแต่งตัวเจ๋งๆ ตอนที่เราดูหนัง
เพลงที่เราฟัง ตอนที่เรานั่งคลิกหน้าคอมดูงานกราฟิก ดูเวบกาม เสิร์ชเวบเกย์ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้มันพอกพูนขัดเกลาเรามาโดยธรรมชาติ
แต่การเรียน มันทำให้เราตั้งคำถามกับสิ่งที่เรารับมาโดยไม่รู้ตัวนั้น เอามันมาแยกแยะ เรียบเรียง ตีค่าใหม่
รสนิยมบางอย่างติดตัวเรามาเพราะเราถูกสังคม(ซึ่งคิดเห็นอะไรตามๆกัน)หล่อหลอมมา
ถูกบริษัทเพลง(ซึ่งผลิตแต่เพลงแบบเดิมๆซ้ำๆ)หล่อเลี้ยงเรามา...ให้เป็นลูกค้าเสียตังค์ให้เขาต่อไปนานๆ
ถูกลูกค้า(ที่ต้องการแต่งานที่ตอบโจทย์ของตัวเอง)กำหนดรูปแบบมา
ถูกตัวอย่างงานกราฟิกที่เราดูทั้งหลายในโลก(ซึ่งก็ดันมีแต่ของฝรั่ง)หล่อหลอมเรามา
ประสบการณ์ทั้งหลาย ปาดป้ายรสนิยมชนิดต่างๆลงบนตัวเราตามใจชอบของมัน
แต่มันเป็นใจชอบของเราแน่เหรอ?
การเรียนนิเทศศิลป์ มันทำให้เราได้สำรวจตัวเอง
อย่างไหนควรรับ อย่างไหนควรทิ้ง อย่างไหนควรตาม อย่างไหนที่เราถูกหลอกมาตลอดชีวิต
เราได้ "รื้อ-สร้าง" ตัวเองใหม่ด้วยมือของเราเอง
วิชาแนวเล็กเชอร์นี้ ยังมีประเภทประวัติศาสตร์ศิลปะ (ตะวันตก ตะวันออก)
ซึ่งก็คงนึกออกกันว่าเรียนอะไร ฟังดูน่าเบื่อ แต่มีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะมันก็เกี่ยวกับความงามอีกนั่นแหละ นักออกแบบแนวๆในโลกนี้
อาจบอกว่า กูเจ๋ง กูของแท้ กูคือออริจินอล แต่การเรียนพวกนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า
โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่จริงหรอก เราต่างเป็นส่วนผสมของสิ่งที่มีมาก่อนแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่
แล้ววิชาเหล่านี้ก็จะพาเราไปสำรวจการต่อยอดทางศิลปะของมนุษย์ตั้งแต่ภาพเขียนผนังถ้ำ
จนดาวินชี จนแอนดี้ วอร์ฮอลล์ จนศิลปะร่วมสมัย เพื่อที่เราซึ่งเป็นองค์ประกอบชิ้นเล็กๆ
ของโลกศิลปะที่กว้างใหญ่จะกลายเป็นบทต่อไปของประวัติศาสตร์เหล่านั้น
คงต้องขอยืมคำของสาวๆโบราณคดีมาหน่อยว่า ไม่รู้อดีต ไฉนจะคาดเดาอนาคต
งานศิลปะ-ออกแบบ ก็เช่นเดียวกัน หากรู้อดีต เราก็สามารถต่อเติมอนาคตได้ง่ายกว่า
แล้วตอนนี้มีวิชาประวัติศาสตร์ออกแบบนิเทศศิลป์แยกออกมาโดยเฉพาะ
ประวัติของเฮลเฟตติก้า สวิสดีไซน์ บาวเฮาส์อะไรจำพวกนี้มีครบหมด
ต่อไปเป็นฝั่งวิชาหลักคือวิชาออกแบบพื้นฐานของปีแรกๆบ้าง
แต่ยังพิมพ์ไม่สวยงามดีนัก (แถมนี่มันก็ยาวมากแล้วอีกต่างหาก)
ค่อยพบกับตอนต่อไป อย่าเปลี่ยนช่องไปไหนนะครับ