ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ
ปีสามยังไม่จบกันเลย ต่อโดยพลัน
วิชาแกนคือ วิชาออกแบบนิเทศในปีสามนี่ ก็เป็นอะไรที่หินเอาการ
มีขึ้นเพื่อสำรวจขอบเขตของการออกแบบว่ามันกว้างขวางแค่ไหน
และเราจะไปยืนอยู่ตรงไหนของมัน ยกตัวอย่างงานก็เช่น เปิดเพลงคลาสสิคให้ฟัง
(อันนี้รสนิยมส่วนตัวแกมากๆ) แล้วให้เราทำกราฟิกภายในคาบตามเพลงที่ได้ยินให้เสร็จ
ไปห้องสมุดแล้วเลือกถ่ายเอกสารรูปอะไรมาก็ได้ที่คิดว่าสวย พอเอามาแล้วแกก็บอกว่าให้
เอามาทำเป็นกราฟิกในคาบให้เสร็จ ประมาณว่าทดสอบรสนิยมการเลือก
และใช้สิ่งที่เราชอบหรือรสนิยมพวกนั้นมาทำอะไรได้บ้าง แบบสดๆในเวลาที่กำหนด
สไตล์งานประเภทยาวๆหลายอาทิตย์ก็เช่น แกจะมีภาพที่มีเส้นหยัก
เส้นตรงชนิดต่างๆขีดอยู่มั่วไปหมดหลายแบบ เลือกเอาตามใจชอบ
แล้วให้เราเอากระดาษลอกลายเลือกลอกเส้นไหนมาก็ได้
แกไม่บอกด้วยว่าทำทำไมและจะให้ทำอะไรต่อไป พอเราเลือกมาแล้ว
ก็ให้เราเอาองค์ประกอบที่เราขีดๆมาเหล่านั้นมาเติมสีทำมือ
ว่ามันเป็นอะไรได้แค่ไหน อาทิตย์ถัดไปก็ให้เอาเค้าโครงเส้นสีพวกนั้น
มาพัฒนาต่อ ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้มีหน้าที่บอกเราแล้วนะครับ
ว่าเราควรจะใช้สีแบบไหน ขยับองค์ประกอบไปทางนั้นนิด ทางนี้หน่อยไหม
เขาสอนให้เราเข้าใจมาแล้ว ว่าอะไรคือความสวย ที่อาจารย์ทำคือแค่แนะวิธีการ
ดูภาพรวม เสนอแนะความเป็นไปได้ จนสุดท้ายงานนี้ก็เอาไปทำ
เป็นกราฟิกผสมผสานกับภาพ ตัวหนังสือ พื้นผิว ฯลฯ ปริ้นลงวัสดุแบบไหน
หรือทำเป็นสามมิติยังไงก็ได้ให้เป็นงานออกแบบที่สมบูรณ์
นั่นคืองานที่ทดลองในเชิงวิชวลแบบเข้มข้น เอาแบบสำรวจกระบวนการคิดก็เช่น
มีงานนึง อาจารย์มีกระป๋องใส่รูปภาพเล็กๆไว้เป็นร้อยๆรูป ทุกคนจับฉลากมาคนละสองรูป
ได้อะไรขึ้นมาก็เอาอันนั้นไปทำเป็นงาน งานอะไรเหรอครับอาจารย์
"งานอะไรก็ได้" อาจารย์ตอบ ไอ้รูปที่ว่านี่ เช่น บางคนได้เสาไฟฟ้ากับเส้นผม
บางคนได้รูปแขนกับรูปคลื่นสัญญาณน้ำตกกับซีดี ฯลฯ อะไรก็ได้ที่อาจารย์ว่านั้น
กว่าจะไปถึงมันทำให้เราสำรวจเชิงวิธีคิดมหาศาลเลยเลยทีเดียว
การเอาของสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวกันมารวมกันเป็นงานออกแบบงานนึง
มันทำให้เราต้องทดลองเอามันมาผสมกัน เกี่ยวข้องกัน เปรียบเทียบกัน
ขัดแย้งกัน ปะทะกัน ทำซ้ำกัน แบบเดียวกับการจัดวางองค์ประกอบทางกราฟิก
แต่นี่มันคือการจัดองค์ประกอบทางความคิด มันจับต้องไม่ได้มองไม่เห็น
แบบวงกลมสี่เหลี่ยม มันจึงเป็นการทำงานของสมองล้วนๆ
ก่อนหน้าจะเอามันมารวมกันนั้นยังต้องเลือกด้วยว่า จะใช้ความหมายชนิดไหนของรูป
เพราะอ.ก็ไม่อธิบายว่ารูปนั้นมันมีความหมายอะไรแน่ อยากจะเลือกความหมายแบบไหน
มาทำอะไรกับอีกอันก็เลือกเอาให้มันน่าสนใจก็พอ เขาสนใจกระบวนการตรงนี้
ส่วนปลายทางมันจะเป็นอะไรก็ได้
ของผมน่ะเหรอครับ ผมได้รูปอินเดียนแดง กับแว่นขยาย
ลองนึกเล่นๆดูว่าจะเอาไปทำเป็นอะไรได้บ้าง ที่พอจะ
จำได้ของเพื่อนอย่างไอ้รูปแขนกับคลื่นสัญญาณนั่น
ก็ทำโปรดักต์โทรศัพท์ดรัมเบลเพื่อเตือนให้คุยกับคนไกล้ชิดมากขึ้น
ใช้โทรศัพท์น้อยลง บ้างก็เอามาทำเป็นเกมแฟลช อนิเมชั่น เขียนเป็นการ์ตูน
คอมิกเป็นเรื่องเป็นราว ทำเป็นอัลบั้มรวมเพลง(อันนี้พวกนักฟังเพลง) ร้านอาหาร
บ้าน งานโฆษณา งานปั้นโมเดล พ่นกราฟิตี้ บางอย่างก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ฯลฯ
ของผมเดาออกบ้างไหมครับ อินเดียนแดงกับแว่นขยาย
ว่าผมเอามันมาเกี่ยวข้องกันยังไง ทีแรกผมก็คิดไว้หลายอัน
แต่ทุกอันผมคิดว่าถ้ามันยังเป็นอะไรที่ตัวเองพอจะนึกออกในเวลาไม่นาน
แสดงว่าคนอื่นต้องนึกออกด้วยสิ ก็เลยทิ้งไปหมด
แล้วตั้งใจว่าจะคิดอะไรที่ไม่มีใครคิดออกแน่ๆ
สุดท้ายเอามาทำเป็นนิยายผสมภาพประกอบ
เนื้อหาของเรื่องมาจากการเอาของสองอย่างมาเปรียบเทียบว่า
ในขณะที่อินเดียนแดงชั่งน้ำหนักประเมินสรรพสิ่งบนโลกด้วยความรู้สึก
เช่นดอกไม้สวย ผืนดินไม่มีเจ้าของ คนขาวไม่มีทางมาครอบครองได้
คนขาวกลับมองโลกด้วยวิทยาศาสตร์ ข้อเท็จจริง
แว่นขยายคือสัญญลักษณ์ของการมองโลกแบบนั้น
เพราะเมื่อเราเอาแว่นขยายไปส่องดอกไม้ที่ว่าสวยงามนั้น
เราจะเห็นข้อเท็จจริงว่ามันเป็นแค่การรวมตัวกันของเซลล์
และผืนดินสามารถมีเจ้าของได้ด้วยการยึดครอง
แล้วก็ผูกเรื่องจากไอ้วิธีคิดนี้นี่แหละครับ แอบอ้างอิงเจ้าชายน้อยนิดหน่อยที่ว่า
สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา ทำให้ตอนไปเสนอนี่ใช้เวลาคุยกับอาจารย์นานมาก
(อาจารย์ท่านนี้ก็นักคิด นักอ่าน) แต่ปัญหาคือ ดันใช้เวลาคิดบรรจงเขียนนานไปหน่อย
พอตอนตัวงานออกแบบจริงๆเลยออกมาเห่ยเลย สม
การเรียนทั้งหมดที่ว่ามามันเหมาะอยู่แล้ว สำหรับคนที่จะมาเป็นนักออกแบบ
ทั้งได้สำรวจขอบเขตของการออกแบบ มองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ
คิดค้นหาอะไรใหม่ๆ ในการออกแบบ จากโจทย์อภิมหาหลากหลายที่เราต้องฟันฝ่า
และทุกโจทย์ก็ตั้งไว้ว่าเราจะต้องได้อะไรบ้าง จนครบถ้วนทุกกระบวนการ
ที่นักออกแบบสักคนหนึ่งต้องมี มันจึงตอบโจทย์การจบออกมา
เป็นนักออกแบบทุกชนิดอยู่แล้ว ยิ่งความเข้าใจเรื่องความงามนั้น
เข้าใจแล้ว เข้าใจเลย ใครก็เอาไปจากเราไม่ได้
และเราจะเอาไปประยุกต์ทำอะไรก็ได้ มันเป็นความเข้าใจที่ถูกขัดเกลา
ถูกทดสอบด้วยโจทย์ ด้วยอาจารย์ ด้วยเพื่อนๆรุ่นพี่และด้วยผู้คนชนิดต่างๆ
มาตลอดหลายปีแล้ว จึงเป็นความเข้าใจในความงาม-รสนิยมที่ซับซ้อน
(หรือบางทีเรียบง่าย) ไม่ต่างจากหมอที่เข้าใจความซับซ้อนของเส้นประสาทมนุษย์
วิศวกรที่เข้าใจความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก
หรือนักดาราศาสตร์ที่เข้าใจความกว้างใหญ่ของดวงดาวและจักรวาล
แต่มันยังมีอะไรให้เราขุดค้นอีกมามายหลายแบบมากกว่านั้นนะครับ
อย่างเพื่อนหลายคนที่เป็นประเภท "เกิดมาแนว"
ไม่ได้ต้องการหาอะไรมาตอบโจทย์อะไรทั้งนั้น
รู้แต่ว่าตูต้องการอะไรอย่างเดียว บางคนพอเข้าใจอะไรๆทั้งหมดแล้ว
ก็ละทิ้งมันทั้งหมด ใช้อารมณ์และสัญชาตญาณดิบตัดสินเอาอย่างเดียว
กูไม่สนอะไรความสลับซับซ้อนห่าเหวจักรวาลๆของมึงที่ว่ามาทั้งนั้น ไอ้เก้อ
บางครั้งโกวเล้งยังว่า จอมยุทธยามเมื่อฝึกเพลงกระบี่เจนจบแล้ว
ก็กลับทำลายพลังลมปราณ เผาคัมภีร์ ละทิ้งกระบี่
กลับไปใช้กิ่งหลิว แต่เมื่อผ่านกระบวนการอะไรๆทั้งหลายมาแล้ว
ความเข้าใจมันติดตัวมันติดมือเราไปแล้ว เมื่อกระบี่อยู่ที่ใจแล้ว
แม้จะใช้อารมณ์ยังไง เราก็ยังเห็นรากฐานและทักษะที่แน่นหนาอยู่
กิ่งหลิวก็ไม่ต่างจากยอดกระบี่เลย
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ผมพูดคำว่าเด็กแนวไปใช่ไหมครับ ขออภัยด้วย
โปรดลืมภาพเด็กแนวเท่ๆขาเดฟไปก่อน เพื่อนที่ผมว่ามันแน้วววววววววแนวนั้น
ไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกเท่ๆอะไรทำนองนั้นเลย บางคนก็เป็นอยู่หรอก
แต่บางคนนี่ เราไม่มีทางดูออกแน่ๆ แม่ง ซกมกชิบหาย
แต่ตัวตนข้างในกับสิ่งที่มันทำนี่ พวกมัน"จริง"กับสิ่งที่ทำ
เสียจนผมอยากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆว่า ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าเลยล่ะครับ
(ที่บ้าจริงๆก็พอมี)
ถ้าหากว่าคุณเป็นแบบนี้ เป็นมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยสไตล์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
สิ่งที่จะได้จากการเรียนคือ เราจะได้รู้ว่า สไตล์ที่เราว่าเราเป็นนั้นมันเข้มแข็งแค่ไหน
เมื่อเจอโจทย์ที่ทดสอบเราหลากหลายรูปแบบ เราจะนำสไตล์เราไปปรับใช้กับมันได้ยังไง
สไตล์ของเรานั้นมันมันมีขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน งานที่หลากหลายจะพาเราไปสำรวจ
สไตล์และตัวตนเราทั้งในทางลึกทางกว้าง ทั้งในเชิงเนื้อหาและรูปแบบ
หรือไอ้ที่เราเรียกว่าสไตล์นั้น เป็นแค่เพราะว่าเราไม่กล้าทำอย่างอื่น
ไม่ลองอย่างอื่นหรือเปล่า? เราของจริงกับมันแค่ไหน?
เพราะบางงานมันทำลายความมัั่นใจในความคิดของเราลงอย่างราบคาบเลย
หยั่งกับว่าเขาตั้งใจคิดงานพวกนั้นมา
ล้างผลาญความเซ้วของเราโดยเฉพาะ!ปล.โอย
เข้าตอนไคลแมกซ์แล้วครับ