ขึ้นหน้าแรกเลย เริ่มอาย
(อายแบนเนอร์ด้วย) ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านมาถึงตอนนี้
จากตอนที่แล้วกับช่วงเวลาแห่งการล้างผลาญความเซ้ว
ข้อนี้ก็ได้เจอมากับตัวเอง ที่ผ่านมาค่อนข้างมั่นใจในความคิดและวิธีการตัวเอง
เพราะเห็นว่ามันมาจากการคิดที่ประกอบด้วยที่มาที่ไปรอบด้านครอบคลุม
ไม่ได้มาจากความรู้สึกผิวเผินขาดเหตุผลว่าตัวเองต้องทำอะไรถูกเสมอ ผิดได้ ไม่กลัว
มันจึงเป็นความมั่นใจที่ฝังลึกมาก ซึ่งอันนี้ผมเดาว่าน้องหลายๆคนที่ทำงานเก่งๆตั้งแต่มัธยม
ก็มีความมั่นใจที่ลึกระดับนั้นอยู่ บางทีอาจจะลึกกว่าผมด้วยซ้ำ
เพราะอายุเท่านั้นผมทำอะไรแบบนั้นไม่เป็น
(ข้อนี้ใครร้อนตัวรับก็รับไปนะครับ พอดีพี่แอนเอาไปออกหน้าแรก
ประชาชนทั่วไปน่าจะอ่านเยอะ เลยไม่กล้าเอ่ยชื่อ
)
ยิ่งหลายคนทำงานได้ระดับมืออาชีพ ฝีมือเจ๋ง มีผลงานแพร่หลาย
มันย่อมสร้างความมั่นใจให้แน่ๆอยู่แล้ว ว่าที่เราทำนั้นถูกต้อง
จึงย่อมจะเป็นความมั่นใจที่ลึกมาก แต่เอาจริงๆไหมครับ ในวัยเท่านั้นผมก็ยังเชื่ออยู่ดี
ว่าผมมั่นใจมากกว่า ผมมั่นใจในวิธีคิดและ"การสั่งสมรสนิยม"ของผมสุดๆ
ต่อให้เทียบกับน้องๆหลายคนในนี้ ที่เก่งกว่าผมแน่ๆในวัยเท่าๆกัน
ผมก็ยังเชื่อว่าผมมั่นใจกว่ามากอยู่ดี
ยกตัวอย่างให้ฟังชัดๆ ตอนเรียนมีงานเรียนหลายงานเหมือนกัน
ที่ผมส่งอาจารย์ด้วยการเขียนวิจารณ์อาจารย์ลงไปเต็มข้างหลังบอร์ดงาน
มีทั้งเขียนตั้งคำถามสงสัยการสอน ทั้งตั้งใจเขียนด่าเลย
ถึงจะใช้คำสุภาพแต่ความหมายรุนแรงเอามากๆ
ไม่ได้ด่าเรื่องการกระทำอะไรเลยนะครับ อันนั้นไม่มีปัญหา ผมด่าสิ่งที่สอนเลย
เรื่ืองเกรดนี่เรื่องสุดท้ายเลยที่จะนึกถึง ถ้าเราคิดว่ามันไม่ถูก ก็ต้องแสดงออก
ซึ่งสิ่งที่เขียนไปช่วงนั้นผมก็ได้เข้าใจทีหลังว่าตัวเองเข้าใจอะไรผิดๆไป
อีกงานที่มารู้ตัวทีหลังว่าตัวเองผิดเหมือนกัน แต่ผิดคนละแบบ
คือมีงานวิชาสอนไอเดียครีเอถีบ อาจารย์เขาให้ครีเอถีฟมีชื่อท่านหนึ่งมาสอน
แล้วเขาตั้งโจทย์ให้เราคิดโฆษณาทีวี โปรดักต์คือพระเครื่อง
จุดประสงค์คือ ให้บอกว่าพระเครื่องมีขายที่เซเว่นแล้ว
แน่ล่ะว่าผมไม่เห็นด้วยที่จะเอาพระมาขาย
แค่ที่วางขายตามถนนก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ก็เลยไม่ยอมทำงานนั้น
พอดีมีเพื่อนผู้หญิงในห้องคนนึงซึ่งไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง
(แต่ไม่ได้เป็นคนธรรมะอะไรเลยนะ)
มันส่งงานเป็นกระดาษหนึ่งแผ่นเขียนบอกอาจารย์ว่าไม่ยอมทำงานนี้
เป็นนักออกแบบก็ใช่ว่าจะขายวิญญาณ ให้เงิน ให้ทุนนิยม สนองโจทย์อะไรก็ได้
ที่มันขัดสามัญสำนึกเรา ผมก็เลยเอามั่งแต่คำไม่เท่เท่ามัน
อันนี้มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ถึงตอนนี้ทุกท่านคงค้นพบแล้วว่าผมคิดผิด
แต่ผิดแบบว่า ดูซิ จตุคาม ตื้อ ดื่อ ทั้งเซเว่นทั้งสเวนเซ่น สังคมยอมรับกันซะขนาดนี้
นี่แสดงว่าอาจารย์เขามองการณ์ไกลจริงๆ โอยยย ผมขอโทษครับจารย์
(กลับใจตอนนี้หวังว่าพ่อจตุคามท่านคงไม่มาหักคอผมนะ)
นอกเรื่องไปนิด แต่ก็นั่นแหละครับตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
ความเซ้วอันฝังลึกนั่น ก็ยังทำหน้าที่ของมันอย่างไม่มีบกพร่อง
แต่ครับ แต่! ถึงจะพกความมั่นใจมาล้นถังขนาดนั้น ในช่วงที่ต้องเรียนมาถึง
เนื้อหาในระดับ"ขุดลึก"แล้ว เมื่อเจอบางงาน หรือคำวิจารณ์บางอย่างของอาจารย์
มันเหมือนกับมีส้นเท้ามาตบที่หน้าเราฉาดใหญ่!
และว่า "ไอ้ที่บอกว่ามึงแนว มึงเจ๋ง มีสไตล์ตัวเองเนี่ย
ที่แท้ก็แค่มึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างอื่นยังไง! "
และ "ที่แท้ มึงก็กลวงเปล่า!"
มันเล่นเอาเราเซถลา หน้าชาไปเลย แม้แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่คนๆนึงจะมีอย่าง"สไตล์"นั้น
กลับกลายมาเป็นกรงขังความคิดสร้างสรรค์เสียเอง
มันเป็นปมปัญหาเกี่ยวกับตัวตนของเราที่ฝังอยู่ลึกมาก
สิ่งนี้ย่อมส่งผลออกมาถึงงานออกแบบที่ติดแหง็ก คล้ายกับเจอทางตัน
ปลายสุดของทางเท่าที่อีโก้โง่ๆแบบนั้นจะส่งเรามาถึงแล้ว
เราเข้าใจว่าตัวเราเป็นดักแด้ที่เติบโตเต็มที่อ้วนท้วนสมบูรณ์เจ๋งที่สุด
เรานอนพุงกางมั่นใจอยู่ในกรอบ-ในเปลือกที่สร้างขึ้นมาห่อหุ้มตัวเอง-ไอ้ดักแด้โง่ๆตัวนั้น
มันจึงเป็นขั้นตอนที่เราต้องเลือก ว่าจะจมปลักอยู่ในรังต่อไป
หรือยอมเจ็บปวดกับการปริแตกของเปลือกที่ห่อหุ้ม ละทิ้งความมั่นใจโง่ๆ
เพื่อที่จะบินสู่โลกที่กว้างกว่าจริงๆเสียที จะเรียกสิ่งนี้ว่า "การเติบโต" ก็คงได้
แต่กว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ กว่าเราจะรู้ตัว ก็ต้องก็อาศัยขั้นตอนฝ่าฟันทำงานทั้งหลายแหล่
ผ่านเพื่อน อาจารย์ รุ่นพี่ ผู้คนรอบข้าง วิถีชีวิตยาวยืดที่ว่ามาทั้งหมดเสียก่อน
ตรงนี้ผมนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าผมไม่ได้เรียนออกแบบนี่ ไม่ได้ผ่านอะไรพวกนั้นมา
ผมจะมาถึงขั้นตอนนี้ได้ด้วยวิธีการไหน ยิ่งไปกว่านั้น ผมจะผ่านมันไปได้ยังไง
ที่ว่ามามันเกิดขึ้นช่วงปีสาม ที่ทั้งผม ทั้งเพื่อนทุกคนก็เอาแต่พูดคุยกันเรื่องนี้
ความงุนงง สงสัย ขุ่นแค้น ในสิ่งที่เรียนมา ในตัวอาจารย์ ในตัวเราเอง
ในพัฒนาการของผลงานของเราเอง มันตีกันวุ่นวายไปหมด
นึกถึงบทสนทนาของผมกับเพื่อนๆในช่วงนั้น มันแทบจะเป็นสงคราม
ที่คุกกรุ่นตลอดเวลา สิ่งนี้มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
กระบวนการความคิดทั้งหมดที่ผมว่ามาก็เช่นเดียวกัน
มันไม่ได้เดินเรื่องชัดเจนเหมือนที่เขียนหรอก เมื่อเวลามันผ่านไปแล้วนั่นแหละ
เราจึงสามารถหาคำอธิบายให้มันได้ เพราะในช่วงเวลานั้นความคิดทั้งหลาย
มันค่อยๆสะสม ค่อยๆก่อตัว ค่อยๆขุ่นคลั่ก ค่อยๆคลี่คลาย
ขณะที่เรานั่งกรีดบอร์ดพรีเซ้นงาน ตอนที่เรานั่งกินเหล้าคุยกับเพื่อน
ตอนที่เราคลิกเมาส์ทำงานเงียบๆอยู่หน้าคอมนั่นแหละ
จนกระทั่งต่างคนก็ต่างหาคำตอบให้ตัวเองได้
ต่างคนก็ต่างเข้าใจ ซึ่งไม่มีใครเหมือนกันแน่ๆ
ไอ้ความเข้าใจในตอนนี้แหละครับ ที่จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของแต่ละคน
ว่าเราจะกลายเป็นใครต่อไป...