หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 ... 15
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมต้องเรียนออกแบบ?  (อ่าน 143698 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
แวะมาแปะแบนเน่อครับผม

แบนเน่อ มันสวยไปมั๊งเนี่ย ฝืนทำให้น่าเกลียด แต่ไม่สำเร็จ  กร๊าก
บันทึกการเข้า
ที่จริงลุงอ๋าหมายถึง คลี่คลาย ใช่ไหมค่ะ



ใช่แล้วครับ ขี้คายนี่ศัพท์ตาเก้อเขาน่ะ
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
+เก้ออีกรอบนะ  เกย์ออก
บันทึกการเข้า

เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีได้
เรื่องสวนทวารของพี่โอดำนี่เจ๋งดีครับ ช่างเปรียบช่างเปรย เจ๋ง
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ชอบจู๋นี้ ปลื้ม
บันทึกการเข้า

¨‘°ºO(¯`·._.·| BlaCk Monkey |·._.·´¯)Oº°‘¨
ยอดเยี่ยมไปเลยครับเก้อ

และขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันเสริมจากประสบการณ์จริงในชีวิต ผมว่าสำคัญกับการพัฒนาคนในยุคต่อไปมากๆ

พอดีมีน้องที่เป็นญาติๆกัน เค้ากำลังจะตัดสินใจเลือกคณะที่จะเอ็นฯอยู่พอดี พี่เองก็อธิบายไม่ถูก อ่านกระจู๋นี้คงทำให้เค้าพอมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

พี่เองตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเรียน ที่ตัวเองทำอยู่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันสนุกและท้าทายความสามารถ   คงต้องรอวันที่มันจะมาผสมรวมกันแล้วตกผลึกออกมาเป็นเม็ดบ๊วยที่อมแล้วตาสว่าง

บันทึกการเข้า
โหย.. สวัสดีครับ ลุงด๋อย  ไหว้

กลับมาเพราะจู๋เก้อเลยนะเนี่ย น่าดีใจแทนเก้อจริงๆ
บันทึกการเข้า

Today you , Tomorrow me.
หวัดดีครับโอ้เอ้ สบายดีนะครับ :)
บันทึกการเข้า
หูย ลุงด๋อย

ตัวจริงใช่ไหมครับเนี่ย กรี๊ดดดดด

ทีแรกเห็นชื่อกำลังนึกว่าใครมาตั้งชื่อแบบนี้
หยั่งกะชื่อลุงด๋อยเลย ของจริงนี่หว่า
ยินดีต้อนรับกลับอีกรอบนะครับผม ไหว้
บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM



มาถึงปีสุดท้ายแล้วครับ

ปีสุดท้ายนี่ เทอมแรกยังมีเรียนอะไรประมาณสามดี สิ่งพิมพ์ขั้นสูง
วิชาประเภทขั้นแอดว้านอะไรนั่นอยู่ แล้วแต่สายวิชาที่เลือกเรียนมา
อย่างวิชาพวกโมชั่น อนิเมชั่นก็ทำหนังสั้น อนิเมชั่นส่ง

มีวิชาการค้นคว้าวิจัยทางการออกแบบ(ชื่อฝรั่งว่าดีไซน์ รีเสิร์ชอะไรสักอย่าง)
ที่สอนกระบวนการขั้นตอนการออกแบบอย่างเป็นระบบ ค้นหาข้อมูลยังไง
จัดเรียงมันยังไง เอามาใช้อ้างอิงถึงยังไง พรีเซ้นงานยังไง ฯลฯ ค่อนข้างน่าเบื่อแต่ก็จำเป็น
แล้ววิชาจัดสัมนา อันนี้สนุกมาก เขาให้เราจัดงานสัมนาการออกแบบ
แบบว่าเชิญคนในวงการมาพูด เราเชิญมาเองนะ อาจารย์ไม่เกี่ยว
เลือกเอาตามแต่ละกลุ่มจะสนใจ แล้วทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิญชวนคนมาดู
อย่างกลุ่มผมทำพวกมิวสิควีดีโอ ก็เชิญผู้กำกับ คนทำโมชั่นมานั่งคุย
(แต่ถึงตอนนั้น พี่ๆท่ีเชิญมานั้นทุกคนก็รู้จักทำงานกับเขากันมาหมดแล้วล่ะ)
อย่างปีก่อนหน้าผม กลุ่มพี่ต้องจำได้ว่าเชิญ ต้อม ยุทธเลิศ อุ้ม สิริยากร
กับคุณนันทขว้างมา มีบางกลุ่มเชิญอนิเมเตอร์ฝรั่งจากดิสนีย์มาด้วยนะ
(รุ่นพี่ต้องนี่แหละ) สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษฮามาก

นอกนั้นก็ประมาณเชิญ บก.นิตยสาร เชิญสไตลิสต์ ดีไซเนอร์
ช่างภาพ ฯลฯ อะไรดังๆมา คนเหล่านี้เขายินดีมาหมดเลยนะครับ
จะคนดังแค่ไหนยังไงถ้าเขาว่างเขาใจดีมาให้หมดเลย


อ้อแล้ววิชานึงในเทอมนี้ที่สำคัญที่สุดคือ สเปเชียลโปรเจ็ค
หรือโปรเจ็คลองของก่อนทีสีส ทำอะไรก็ได้ตามความสนใจ
บางคนก็อาจทำอะไรทดลองก่อนไปทำทีสีสจริงก็ได้
อันนี้ผมก็ทำหนังสั้นเรื่องนึง(ก็ไม่ค่อยเป็นหนังนักหรอก)
บ้างก็ทำกราฟิกหนังสือ ทำแอดโฆษณา ทำมิวสิควีดีโอ
ทำอนิเมชั่น โมชั่นกราฟิก ออกแบบองค์กร ทำร้านกาแฟ
เกมส์ เวบ ถ่ายภาพ แฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผม ออกแบบคาแรกเต้อ
การ์ตูนคอมิก ภาพประกอบนิทาน ฯลฯ บางอันก็ไม่รู้จะเรียกชื่อว่าอะไร
เป็นการทดลอง แต่ตอนนี้ไม่ต้องเสนอโครงการอะไรวุ่นวาย
อยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ทำให้มันดีเถอะ
แล้วทยอยมาให้อาจารย์ช่วยดูเป็นตอนๆไป


ส่วนสุดท้าย ท้ายสุด ศิลปะนิพนธ์-ทีสีสหลอนกระชากวิญญาณเดือด
ก็คือทำเหมือนไอ้ที่ว่ามาตามความสนใจของแต่ละคนแหละครับ
แต่ยากกว่าตรงที่ต้องเสนอโครงการกับคณะกรรมการภาควิชา
ซึ่งอย่างของผมก็ต้องส่งหลายรอบกว่าจะผ่าน (เกือบไม่จบแล้วตู) มีตรวจเป็นตอนๆ 
แต่ละตอนต้องผ่านความคิดเห็นและการให้คะแนนของคณะกรรมการอย่างที่ว่า
ก็อาจารย์ที่สอนมานั่นแหละ บางทีก็มีผู้ทรงคุณวุฒิที่เขาเชิญมา
รวบรวมคะแนนจากกรรมการทุกมุมแบบกรรมการมวยเลย
ถ้าคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องลงจากเวทีไป ถ้ากลัวแพ้คะแนนมากก็มีทางเดียวคือ
งัดลีลาฟุตเวิร์คทำงานเจ๋งๆน็อคอาจารย์ไปเลย ...แต่ส่วนมากจะโดนน็อคมากกว่า

แล้วไอ้การตรวจที่ว่านี่จะมีด้วยกัน 4 ตอน ต้องรอลุ้นคะแนนผ่านไฟเขียวแต่ละตอนไป
ถึงจะทำต่อได้ (คราวนี้มาเหมือนเกมโชว์) ลุ้นใช้ได้เหมือนกันครับแต่ละรอบ
ถ้าจะไม่จบกันก็อีตอนนี้แหละครับ บางคนเสนอหัวข้อไม่ผ่านตั้งแต่แรก 
บางคนผ่านมาได้ถึงแค่ตอนสอง หรือจอดตรงตอนสามจะเสร็จอยู่แล้วก็มี
พวกไม่ผ่านนี่ก็ต้องรอทำใหม่ปีหน้า ทุกปีจะมีรุ่นพี่ตกค้างมาเข้าคิวรอเชือดด้วยเสมอ
บางคนตกค้างมาสี่ปีก็ยังมี

ถ้าผ่านเรียบร้อยถึงเส้นชัยตอน 4 ส่งหนังสือประกอบศิลปะนิพนธ์เสร็จ
ก็เป็นอันว่า ชีวิตการเรียนนับตั้งแต่อนุบาลหนึ่งเป็นต้นมา จบสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
(คนปกติเขาเรียนกันถึงแค่ตรงนี้นะครับ ส่วนจะไปต่อโทต่อด็อกเต้อนั่นไม่ปกติ)

วันสุดท้ายที่ส่งงาน ตอนเก็บข้าวเก็บของเก็บโต๊ะกันเสร็จเพื่อนๆอยู่กันเต็มห้อง
ผมหยิบช็อล์คขึ้นมาเขียนที่กระดานว่า


" กูเคยอยู่ที่นี่ 2544 - 2548 "




(อายเหมือนกันนะครับเนี่ย)

ปล.ยังมีต่อนะครับ ละครยืดเรียกเรตติ้ง
บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM
กร๊าก
ตาย ตาย บทความหล่อๆ แปดเปื้อนหมด
ไม่น่าเผยผิวคนเขียนเลย
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
 กร๊าก  ว่าไป
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย






 กร๊าก เจ๋งดีออก


บันทึกการเข้า

งบน้อย
คือ ผมพยายามขอรูปกับเพื่อนมาแล้วนะครับ
แต่ไม่มีใครยินยอมเลย จะเอารูปเขามาจากเวบ
ก็กลัวโดนด่า เลยต้องฝืนใจเอารูปตัวเอง ง่ะ


จะเห็นว่าที่เล่าๆมา การเรียนดูไม่ได้เตรียมตัวให้เราเข้าสู่การทำงานยังไงอยู่
คือมันก็มีแหละครับ ไอ้ตัวงานทั้งหลายที่เราทำนั่นแหละก็คืองานที่เราจะต้องจบไปทำ
เพียงแต่ตอนเรียนแทบไม่มีใครพูดถึงจบแล้วจะต้องทำงานแบบไหนยังไงบ้าง
มีแต่เนื้อหาในเชิงออกแบบพูดถึงแต่ตัวเนื้องานแทบทั้งหมด
ไม่ได้สอนให้เราจบไปเดาใจลูกค้า ซึ่งผมมองว่าจุดนี้เป็นข้อดี
และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราหลงรักการเรียนนี้มาก
ไม่มีอาจารย์สักคนเลย ที่มาคอยบอกว่ายังงี้จบไปแล้วจะทำงานยังไง
-อ้อ มีบ้างที่พูดตอนหน่ายเวลาเราส่งงานช้า

อันนี้มันเกี่ยวกับความคิดเห็นผมเกี่ยวกับระบบการศึกษาในมหาลัยด้วย
น้องติวชนิดที่มาถามผมว่า พี่ๆเรียนภาคนี้แล้ว จบไปจะมีงานเยอะไหม
รายได้ยังไง ตกงานไหม เออ ถ้าพ่อแม่อยากรู้ ผมจะบอกให้สำหรับไปตอบพ่อแม่
แต่ถ้าอยากรู้เองผมจะตอบว่า อยากรวยอย่ามาเรียนศิลปะ
ถ้าเราตั้งใจจะมาเรียนเพื่อจะตอบโจทย์ว่า จบไปแล้วประกอบอาชีพอะไรยังไง
รายได้ดีไหม แล้วคณะก็สอนให้เรามีความรู้-ความสามารถ
เพื่อตอบโจทย์การประกอบอาชีพเหล่านั้น
สอบวัดความรู้กันเข้ามาแล้วผลิตนักศึกษา
เข้าสู่ระบบการทำงานเหล่านั้นเพียงเท่านั้น

แบบนี้มหาลัยจะต่างอะไรกับสถานที่อบรมพนักงานก่อนเข้าทำงานล่ะ?
แย่กว่าอีก ต้องอบรมตั้งสี่ปี


เอาแบบหนักกว่านั้นเรื่องทำงานทำการ หางานยากไหม รายได้ยังไง เขาวัดจากอะไรล่ะ?
ถ้าไม่ใช่วัดจากว่าเราจบไปแล้ว ไปสร้างผลกำไรให้เขาได้มากขนาดไหน


ดังนั้นผมจึงไม่ศรัทธาการตัดสินใจชนิดที่ว่าเลือกเรียนที่ไหนก็ได้
ที่สอนวิชาที่ทำให้เรามีความรู้สำหรับไปประกอบอาชีพนั้นๆ
มหาลัยไม่ควรจะเป็นเพียงสถานที่อบรมอาชีพ
ถึงทุกวันนี้ส่วนใหญ่มันจะเป็นยังงั้นก็เถอะ


บางคนตั้งจุดมุ่งหมายของชีวิตไว้ แล้วหาทางไปให้ถึง
ซึ่งก็นับว่าเป็นทางที่ถูกที่ควรทำ บางคนดันไม่ศรัทธาอะไรแบบนั้นเลย
รู้แต่ว่าจะไปทางนี้ล่ะ ถูกผิดไม่รู้ ปลายทางเป็นอะไรไม่รู้
รู้แค่ว่ามาทางนี้แหละ เท่แล้ว ชอบแล้ว มันจะนำไปสู่อะไรก็ช่างหัว
ซึ่งจะเลือกอย่างไหนก็ตามสะดวก ถ้ายังมีโอกาสเลือก
เพราะบางคนเขาก็ไม่มีโอกาสได้เลือก


เรื่องการทำงาน คิดว่าหลายๆคนคงอ่านเรื่องประเภท
เรียนแล้ว สามารถจบมาทำงานอะไรได้บ้าง กันมาแล้ว
ผมคงไม่เขียนซ้ำ แต่จะเอาจากชีวิตจริงๆเลยดีกว่า
ว่าไอ้เพื่อนๆที่เรียนกันมาเนี่ย จบแล้ว มาทำงานทำการอะไร
หาเลี้ยงชีพกันจริงๆ บางคนก็เลยเถิดไปทำอะไรต่อมิอะไรบ้าบอไม่รู้
ความจำเป็นของชีวิตแต่ละคนแตกต่างกัน
จะได้เห็นภาพกันจริงๆว่า ชีวิตจริงๆมันเป็นยังไง


เท่าที่นั่งนึก เพื่อนๆในห้องผมจบมาทำงานทำการประมาณนี้กันครับ

- เป็นนักออกแบบกราฟิก อันนี้แหงๆ เป็นกันหลายคน
- เป็นอนิเมเตอร์ ทำการ์ตูนสามมิติ ตามบริษัทจำพวกนี้นี่ก็หลายคน
มีทั้งการ์ตูนที่ฉายทางทีวี และที่ฉายตามโรง(มันก็มีก้านกล้วยเรื่องเดียวนั่นแหละ)
- เป็นนักเขียนภาพประกอบ ตามนิตยสารหรือสำนักพิมพ์ต่างๆ
- เป็นสไตลิสต์
- เป็นดีไซเนอร์ แบรนด์เสื้อผ้า ที่นึกออกมีแจสปาลกับเกรย์ฮาวด์
- เป็นนักออกแบบดิสเพลย์ สยามพารากอนไรงั้น
- เป็นเจ้าของร้านกาแฟแถวสีลม
- เป็นนักทำโมชั่นกราฟิก เอฟเฟ็กต์ โพสต์โปรดักชั่น มิวสิควิดีโอ อันนี้ก็หลายคน
มีบางคนรวมกลุ่มกับรุ่นพี่เปิดบริษัท(ถ้าผมยังอยู่นั่นก็คงอยู่ในข้อนี้แหละ)
- เป็นนักทำโมชั่นกราฟิกรายการเพลงที่ฉายๆกันตามโทรทัศน์
- เป็นผู้กำกับมิวสิควิดีโอ อย่างของพาราดอกซ์เพลงอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้
- เป็นนักออกแบบเวบไซต์
- เป็นนักเขียนวิจารณ์เพลง
- เป็นนักเขียนสารคดีเกี่ยวกับดนตรี อันนี้เชี่ยวชาญดนตรีป็อป
และเป็นนักสะสมเพลงป็อปไทยยุค80
- เป็นนักเขียนและ บก.นิตยสาร อะไรสักอย่างนึง จำชื่อไม่ได้
- เป็นครีเอถีฟ ในเอเจนซี่โฆษณา
- เป็นอาร์ตได
- เป็นนักรีทัช ในเอเจนซี่โฆษณา
- เป็นนักเรียน คือเรียนต่อน่ะ อิตาลี 2 คน ฝรั่งเศส 1 คน
อังกฤษ 3 คน คนนึงมาทุนกพ. ส่วนอีกคนมาล้างจานเอา
- เป็นพ่อค้า ขายข้าวขาหมูกิจการที่บ้าน ว่างๆก็ไปทำงานสามดี
(ร้านอยู่หลังสวนเชียวนะครับ ดังด้วย)
- เป็นหมอดูฮวงจุ้ย
- เป็นผู้หญิง คือเมื่อก่อนก็ดูเป็น แต่ยังไม่ครบทุกส่วน ตอนนี้ครบทุกส่วนแล้ว
ครบแล้วก็ไปเป็นนักแสดงโชว์ ออกแบบโชว์ด้วย
ถึงขั้นไปเดินสายไปหลายประเทศเลยเชียว


เกือบจบแล้วครับ เหลือประเด็นสุดท้ายอีกนิดเดียว
การเรียนกับข้อเท็จจริงในการทำงาน และเรียนมาโดยตรง
กับไม่ได้เรียนมา ต่างกันตรงไหนยังไง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ต.ค. 2007, 00:54 น. โดย เก้อ » บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM
โอ้ว


ขอจองคำถามไว้ข้อนึงก่อนเลยครับ เผื่อว่างๆ พี่เก้อจะมาตอบ
คือ เพื่อนๆ ของพี่เก้อนี่ มีใครที่ไม่เก่งมั่งไหมครับ
เอาแบบชีวิตในมหาลัยไม่ได้สุขสมหวังอะไรงี้
อยากรู้ว่ามีกรณีศึกษาที่น่าสนใจไหมสำหรับคนที่เรียนไม่เก่งง่ะ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 ... 15
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!