อ่านของพี่ฉึ่งแล้วนึกออกเลยครับ
เห็นหน้าเพื่อนแต่ละแบบลอยมาในหัวเลย
ต่อกับประเด็นที่เหลือครับ ไม่เกี่ยวกับชีวิตการเรียนแล้ว
ข้อเท็จจริงสำคัญอย่างหนึ่ง ในแวดวงกลุ่มคนทำงานออกแบบดังๆหรือ
กลุ่มคนทำสตูดิโอออกแบบที่มีชื่อเสียง แทบจะไม่มีใครที่เรียนมาด้านอื่น
นอกจากสายศิลปะ- ออกแบบเลย ถ้าไม่ได้เรียนตอนตรีก็เป็นโท(มักจะเป็นเมืองนอก)
ปริมาณคนในแวดวงนี้หลักๆก็คงเป็นนิเทศศิลป์ หรือออกแบบสื่อสาร
นฤมิตรศิลป์ ฯลฯ ตามแต่จะเรียก มาทางสายไฟน์อาร์ตแบบจิตรกรรม-วิจิตรศิลป์,
ออกแบบอุตสาหกรรม, ครุศิลป์, สถาปัตยกรรม(หมายถึงที่เรียนถาปัตสร้างบ้านจริงๆ),
คอมอาร์ต และภาควิชาอื่นๆที่อยู่ในคณะด้านศิลปะออกแบบ
ส่วนคณะชื่อประเภทออกแบบสื่อ มัลติมีเดีย เทคโนโลยี ฯลฯ
ก่อตั้งขึ้นมาในระยะไม่นาน การจะมีคนจบมาแล้วเก่งกาจมีชื่อเสียง
ในวงการยังต้องใช้เวลากว่านี้หน่อยจึงยังไม่ปรากฎตัวตนมากนักในแวดวงการทำงาน
ข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ น่าจะถือเป็นการตอบคำถามต่อ
"ข้อแตกต่างของคนที่เรียนมาโดยตรงกับที่ไม่ได้เรียน"ได้ด้วย
อย่างที่พูดไว้ในการเรียนวิชาออกแบบพื้นฐาน
การเรียนพื้นฐานมันทำให้รากเราแน่นหนามั่นคง
ไม่ว่าจะเจอโจทย์แบบไหน ตัวตน ความชอบของเราเปลี่ยนไปแค่ไหน
รากเราจะยังมั่นคงไม่สั่นคลอนไปไหน หากไม่มีพื้นฐานที่ว่าแล้ว
เมื่อเจอปัญหาในเชิงออกแบบที่หนักหนาเข้า ก็ไม่สามารถไปไกลได้กว่านั้น
เรียกว่าเจอทางตัน ก็อาจทำให้ไขว้เขว แล้วไอ้วิชาชีพนี้จะทำให้คนร่ำรวยหรือก็เปล่าเลย
แถมไม่มีความมั่นคงใดๆอีกถ้าหากใครที่มีวิชาชีพอื่นๆรออยู่
ในระยะยาวเมื่ออายุมากขึ้น ก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปทำอย่างอื่น
เป็นสาเหตุให้ เราแทบไม่เคยเห็นรุ่นใหญ่ๆในวงการ
ที่ไม่ได้เรียนสายศิลปะ-ออกแบบมาเลย
เหตุผลอีกด้านหนึ่ง การที่เราจะอยู่กับอะไรไปตลอดรอดฝั่งจนประสบความสำเร็จนั้น
มันอาศัยปัจจัยอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างมาก การสอบเอ็นทร้านก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
การที่เราตัดสินใจจะเรียนคณะอะไรก็แสดงถึงความมุ่งมั่นในระดับหนึ่งแล้ว
ว่าเรารักมันและตั้งใจจะอยู่กับมัน ความยากง่ายของคณะก็มีส่วน คณะที่เข้ายากๆ
ต้องใช้ความพยายามสูงในการสอบเข้าก็วัดความมุ่งมั่นได้อีกอย่าง จึงเป็นอีกคำอธิบายว่า
ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จมักมาจากคณะที่เข้ายากๆเหล่านี้
(ก็ทุกสาขาอาชีพด้วยนั่นแหละ)และโดยเฉลี่ยคนที่มาจากคณะเหล่านี้
จะมีเปอร์เซ็นต์หันเหเฉไปทำอะไรอย่างอื่นน้อย การมีกลุ่มเพื่อน สังคม
ที่สร้างคอนเน็คชั่นดีๆ ก็มีส่วน ทั้งหมดนี้มันเป็นตัวพยุงให้เรา
ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรในระยะยาว ก็จะยังอยู่กับวิชาชีพนี้ไปได้จนประสบความสำเร็จ
ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนไม่ได้เรียนมาโดยตรงจะเผชิญ
(และพออายุมากก็อาจหันไปทำอย่างอื่นในที่สุด)
ที่เปรียบเทียบนี้ ไม่ได้บอกว่าไม่ได้เรียนมาจะทำไม่ได้
หรือมีความรักในการออกแบบน้อยกว่าแต่อย่างใดนะครับ
ผมไม่อาจเอื้อมไปชั่งน้ำหนักความรักของใครๆจากแค่การสอบเพียงหนึ่งครั้งนั่นหรอก
เราทุกคน แค่จุดมุ่งหมายก็ไม่เหมือนกันแล้ว ทางที่จะไปถึงนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
บางคนแค่การได้อยู่กับสิ่งที่รัก ไม่ต้องมีใครรู้จัก ไม่ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่
นั่นก็คือประสบความสำเร็จแล้ว เพียงแต่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปพูด
อะไรอย่างอื่นที่มันดูน่ารักน่าชังกว่านี้ได้ มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเล่าข้อเท็จจริง
ให้เห็นภาพรวมทั้งหมดในช่วงเวลาที่น้องๆ ยังเลือกอนาคตการเรียนให้ตัวเองได้
จะชอบแบบไหนจะเลือกแบบไหนก็ตาม ข้อเท็จจริงมันก็คือแบบนี้แหละ
ลองนึกดูว่า การตัดสินใจของเราตอนนี้ ลองกะเอาว่าจะตายตอน 80
อายุ 16-17 จาก 80 มันเป็นระยะที่สั้นมาก ไม่ถึง 1 ใน 4 เลย
ในอนาคตปัจจัยในการดำรงชีวิตหลายต่อหลายอย่าง
มันจะนำพาเราไปพบเจออย่างอื่นมากมาย(ซึ่งไม่เกี่ยวกับการออกแบบเลย)
อะไรที่ทำแล้วได้ตังค์มากกว่า มั่นคงในชีวิตมากกว่า เลี้ยงลูกเมียได้
ผ่อนบ้านได้ ผ่อนรถได้ออปชั่นดีกว่า แต่ถ้าคิดว่าจะอยู่กับการออกแบบถึงอายุมากๆ
ก็ลองคิดดูว่า อะไรที่จำเป็นบ้างในการที่จะพาเราไปถึงจุดนั้น
พื้นฐานศิลปะที่มั่นคงเหรอ จำเป็นมากขนาดนั้นไหม ?
หรือความรู้ในศาสตร์ที่จะเอามาจัดการงานด้านนี้(เช่น นิเทศศาสตร์)มากกว่า ?
ที่ตัดสินใจวันนี้ เพื่อที่จะอยู่กับมันไปจนถึงอายุเท่าไหร่ ?
อย่างผมปีนี้ 19 ไอ้ที่ว่ามาทั้งหลายผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะอยู่กับมันไปจนสามสิบ
สี่สิบ ห้าสิบไหม รู้แต่ว่าไอ้ที่การเรียนออกแบบให้ผมมานั้น
มันเพียงพอที่จะนำพาผมไปถึงตรงนั้น-ตรงไหนก็ตามเถอะ ที่ผมต้องการ
และสุดท้ายนี้ คือไอ้ผมเองเนี่ย จริงๆก็ไม่เคยต้องมานั่งติดสินใจอะไรแบบนี้หรอก
เหตุผลเหรอครับ ก็เพราะผมรักการออกแบบ ...อ้าว ฟังดูหล่อไปเหรอครับ
หน้าด้านจริงๆ เอาความจริงดีกว่า (ไม่ใช่พี่เบิร์ดนะครับ จะได้เพราะเบิร์ดรักเสียงเพลง)
ความจริงก็มีแค่ว่าทำอย่างอื่นไม่เป็น อยู่ในสังคมแบบอื่นไม่เป็น
นอกจากสังคมแบบที่เคยเรียนมา ง่ายๆแค่นั้นแหละ
พ่อแม่เลยไม่เคยต้องมาให้คำแนะนำอะไร แต่ถ้าเป็นพี่ๆผม
เวลาพ่อแม่ผมแนะนำเรื่องอนาคต แกก็เล่าอธิบายแสดงความคิดเห็น
ในฐานะพ่อแม่ คงคล้ายๆพ่อแม่ทุกคนที่รักลูกนั่นแหละ แต่พ่อผมจะลงท้ายเสมอว่า
ยังไงก็แล้วแต่ นี่ก็เป็นความคิดเห็นของพ่อ ซึ่งก็เป็นคนๆนึงเหมือนกัน
อาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็ได้ เพราะงั้นอนาคตเรา รู้ตัวเราเองว่าต้องการอะไร
เลือกเอาเอง และรับผิดชอบการตัดสินใจนั้นเอง
เช่นเดียวกัน ผมอาจจะถูกหรืออาจจะผิด แต่ผมเลือกมาแล้ว
และทั้งหมดนี้คือที่ผมเจอมาครับ.