นี่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่เข้าไปดูในโรงเป็นรอบที่สอง
(เพราะตอนรอบสื่อโบว์ไม่ว่าง รอบนี้เลยตามใจเจ้าแม่หนังผีเข้าไปนั่งดูเป็นเพื่อนหน่อย)
การดูรอบที่สองที่รู้ตอนจบอยู่แล้ว ให้อารมณ์ต่างจากตอนรอบสื่อพอสมควร
นั่นเพราะเราจำจังหวะได้แล้ว ว่าอะไรมันจะน่ากลัวตอนไหน
ก็เลยอาศัยจังหวะนี้สังเกตรายละเอียดอื่นๆ ที่อยู่ในหนังแทน
แล้วก็พบว่า
อีเรื่องที่สอง (ยันต์สั่งตาย) ที่ว่าห่วยนักห่วยหนาในสายตาตู มันห่วยน้อยลง
คือแบบ ยังห่วยอยู่ดี แต่ห่วยน้อยลงเพราะว่าเราดูมันอีกรอบแล้วไง
เลยเข้าใจว่าอีพวกที่ตัดต่อ พวกทำเทคนิคพิเศษด้านภาพ หรือทีมซีจีเนี่ย
มันคนเห็นซ้ำๆ กันเป็นร้อยเป็นพันรอบ จนดูไปดูมา ไม่เห็นความ "เกิน" ของหนัง
ทำให้หนังที่มีบทยอดเยี่ยมแบบนั้นกลายเป็นหนังง้องแง้งราคาแพงได้ไงก็ไม่รู้
(ไอ้บอลแสดงแย่มากๆ ส่วนน้องสายป่านแสดงดี แต่บทไม่ส่งเลย)
เรื่องเหงาของยงยุทธ เห็นเลยว่าน้องเอ๋ถึงมากครับ
หนังผีเรื่องนี้ทำให้เรากลัวได้ หมายถึงกลัวผีจริงๆ ไม่ใช่ตกใจเพราะเสียงแฮ่
หนังผีระยะหลังๆ ไม่ค่อยกลัว ติดแค่ตกใจทุกทีไป แต่เรื่องนี้ ทำให้กลัวได้ครับ
ชอบมากกว่าตอนดูรอบแรกนะ คงเพราะตอนรอบแรกโดนเรื่องหลังๆ ดูดความน่าสนใจไปหมด
เรื่องคนกลาง
สุดยอด ดูยังไงก็สุดยอดเหมือนเดิม ไร้ที่ติครับ
การแสดงดีมากๆ ดีจนอีคู่ทอมดี้ข้างๆ อุทานพร้อมกันตอนเห็นไอ้ตัวที่เหวอๆ น่ะ มันเหวอ บอกว่า "น่าร้ากกกก"
(นังทอมนั่งพากย์ตอนจบของเรื่องแรกจนน้องดี้สุดเอ็กซ์บอกว่า "เดี๋ยวหนังมันก็เฉลยน่า)
ที่แน่ๆ สะใจมากที่ไอ้เอตาย
เรื่องสุดท้าย เที่ยวบิน ๒๒๔
เรื่องนี้ดูรอบที่สอง ให้อารมณ์กลัวน้อยลง (เพราะเดาจังหวะผีออกถูกหมดแล้ว)
แต่รู้สึกได้เลยว่าเฮ้ย ผู้กำกับเขามีชั้นเชิงมากๆ ในการนำเสนอจังหวะของผีน่ะ
ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ไม่ใช่ บิ๊ววววววววว ว หยุด (แป๊บนึง) แล้ว แฮ่--!! เหมือนหนังผีทั่วไป
แต่อันนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น ใครมีโอกาสได้ดูอีกรอบลองไปจับอารมณ์นี้กันนะครับ
อ้อ คนในโรงคราวนี้ ฮาคนละมุกกับกลุ่มแรก
น้ำหนักของการกลัว กรี๊ด เหวอ ต่างจากกลุ่มแรก
ทั้งๆ ที่ดูที่เอาพละนาดเหมือนกันนะ