หน้า: [1]
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ทางโลกและทางธรรม ต่างกันยังไงและห่  (อ่าน 3447 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
คือก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่าที่ตั้งกระจู๋นี้ขึ้นมาก็เพื่ออยากจะทราบความคิดเห็นหรือความรู้จากเพื่อนๆพี่ในฟอนต์
ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้

อย่างที่ชื่อกระจู๋บอกคือ ผมเชื่อว่าทุกคนก็เข้าใจความหมายของคำว่าทางโลกและทางธรรมไม่มากก็น้อย
ถ้าจะให้พูดง่ายๆ เข้าใจแบบเด็กๆโดยไม่มีหลักการแยกประเภทใดๆ ก็คือ เรื่องราวในศาสนาและเรื่องราวนอกศาสนา

โดยคำว่าห่างที่ผมพูดถึงก็จะหมายความในทางที่ว่าห่างไกลกัน ไม่มาคิดรวมกัน ยกตัวอย่างก็เช่น
วัฒนธรรมของทางบ้านเรากับชาวตะวันตก ถามว่าตามกายภาพแล้วอยู่ไกลกันไหมก็ไกล แต่ทำไมวัฒนธรรมในสมัยนี้
มีหลายๆอย่างที่เราได้รับมาจนแทบจะเรียกได้ว่าคล้ายกันในหลายๆด้าน จนเรารู้สึกว่าใกล้กัน ซึ่งอาจจะได้รับอิทธิพลใน
หลายๆทางก็ตามที แต่เรื่องของวัฒนธรรมก็เป็นอะไรที่ประกอบไปด้วยที่แนวความคิดการปฏิบัติและหลายสิ่งหลายอย่าง
แต่เรื่องราวอย่างเช่น ธรรมะนี่ เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโดยตรงและมีผลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็อีกแหละ มันก็เป็นเรื่องของความคิด และถ้าผมไม่คิดไปเองคนเดียว จะรู้สึกว่าในทางโลกนั้น ทุกวันนี้มันช่างจะห่างไกล
กับทางธรรมไปมากโดยสาเหตุหลักก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ถามว่าคนเราทุกวันนี้ 24 ชม. คิดอะไรกันอยู่ในหัวบ้าง

ทางโลกคือการคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร และทางธรรมคิดการคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร การที่เราจะนำความคิดของสองทางนี้มาคิด
พร้อมๆกันจะรู้สึกได้ว่ามันไม่เข้ากันและออกจะต่างกันด้วยซ้ำ ตามความคิดของทางโลกเป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร
ทำงาน หาเงิน แต่งงานมีลูก มีบ้าน มีรถ ลูกโต ลูกทำงาน แก่ลง ตัวไหนคือเป้าหมาย แต่กลับมาคิดในทางธรรมแล้วมีชัดเจน
แต่ยากมากๆที่จะนำมาคิดในชีวิตประจำวัน แค่เอาเข้ามาใส่หัวก็รู้สึกแปลกๆแล้ว นี่รึเปล่าคือความต่าง แล้วต่างกันแค่ไหน
ต่างกันในขนาดที่ว่า ถ้าเอาเรื่องราวทางธรรมจริงๆมาพูด รอบข้างจะรู้สึกว่าแปลก และเหมือนกับว่าผู้พูด แตกต่างออกไป
ในขณะที่พูด นี่รึเปล่าคือความห่าง...ของสองคำนี้

แน่นอนผมเชื่อว่าทุกคนที่มีศาสนา รู้และเข้าใจดีถึง คำว่าทางธรรม
และหลายคนก็เข้าใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องของนักบวชเพียงอย่างเดียวแต่มันทั้งเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับตัวเราอย่างจัง
แต่ก็พยายามที่จะลืมไปเพื่อดำเนินชีวิตทางโลกให้ได้อย่างปกติสุข ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เราคิดว่าเราไม่ได้ลืมมันเราเชื่ออย่างนั้น
 
นั่นจึงทำให้ผมมาคิดว่า อะไรล่ะเป็นสาเหตุที่ทำให้คำว่าทางโลกและทางธรรม มันทั้งต่าง และห่างกันในปัจจุบันมากถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนที่มีอดีตยาวนาน เพราะตอนนี้ก็แค่ 20 แต่สิ่งที่ได้รับรู้มา ประสบการณ์ต่างๆ เรื่องราวบอกเล่า
สั่งสอนทุกอย่าง มันทำให้ผมอดคิดถึงสิ่งนี้ไม่ได้ ผมไม่ได้เรียนโดยตรงกับเรื่องราวข้างต้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามใครได้
เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าคนเราอยู่ระหว่างกลางของสองทางนี้ไม่ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ต้องมีการแบ่งเวลาให้ทั้งสองทาง
แต่อย่าลืมว่าถ้ามันเป็นเส้นทาง และชีวิตของเราคือการเดินทาง เมื่อไหร่หรือเหตุผลอะไรที่จะทำให้เราเลือกเดินไปทางใดทาง
หนึ่งและจริงหรือที่มีคนบอกว่าถ้าเดินทางสองทางโดยต่างเวลา ก็จะทำให้ไปไม่ถึงจุดหมายนั้น เพราะชีวิตเรามันสั้นนัก

สุดท้ายนี้ต้องบอกก่อนว่าทางธรรมที่กล่าวถึงไม่ใช่เป็นธรรมะของศาสนาใด ไม่ใช่หลักธรรม แต่พูดถึงเรื่องราวของทางธรรม
ในทุกๆศาสนาเลยก็ว่าได้ ไม่ได้แบ่งแยก และก็อยากมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกคน หรือแม้กระทั่งความรู้จากผู้รู้จริง
มีประสบการณ์ในด้านนี้ เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยคิดเหมือนกัน(มั้ง) ผมออกแนวว่าอยากรู้อยากเห็นน่ะครับ
บันทึกการเข้า

พี่มันแย่ พี่แพ้น้องฟรัง....5555+



เขาถึงมีสองทางให้เลือกไงครับ

แม้ทางจะร่วมทางกันได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้ว มันก็แยกไปคนละซอย
อุปมาดั่งนั่ง BTS ไปสยาม ทางโลกก็เดินเข้า MBK ทางธรรมก็อยู่พาราก้อน

บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
เอเปรียบเทียบซะ อยากลงไปกิน MK เทรนดี้เลย
บันทึกการเข้า
หากแยกธรรมบางชนิดออกไป คงไม่ใช่ธรรมที่พูดได้
ธรรมมีอยู่ในโลกธรรมดาทุกแห่ง ไม่แบ่งแยก
เป็นโลกทางวาจา เท่านั้น
โคน หรือ ปลาย
ก็ยังอยู่บนขนเส้นเดียวกัน
เมื่อพ้นไปจากเส้นที่ว่านี้แล้ว
ไร้วาจาใดจะกล่าวถึงได้
ไร้ขน ก็ ไร้คำ
บันทึกการเข้า

อยู่บ้านไร่ ไร้เน็ต พี่จะกางมอสกิโต้เน็ต เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง เดินตามสายรุ้ง ทิ้งเมืองกรุงไว้กับเธอ ..
คำว่าทางโลกกินความหมายแค่เรื่องของมนุษย์ ส่วนทางธรรมกินความหมายทั้งจักรวาล และ จักรยาน 555
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
มันก็คงเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตเหมือนกัน
แต่จะต่างกันแค่เป้าหมายที่จะมุ่งไปทางไหนแค่นั้นเองแหละครับ

ลองไม่แยกมันออกจากกันด้วยเส้นแบ่งเส้นใหญ่ๆดูสิครับ
จริงๆมันก็ เหมือน ขาว เทา ดำ ที่อยู่กลืนๆกันนั่นแหละ
เราเอาธรรมมาใส่ในโลก และเอาโลกมาใส่ในธรรม ได้เสมอนะครับ กับกิจกรรมต่างๆ

ลองเริ่มจาก
ใช้ชีวิตทางโลก โดยเอาธรรมเป็นเครื่องนำทาง
แล้วก็ใช้ชีวิตทางธรรม โดยเอาชีวิตทางโลกเป็นพื้นฐาน
ก็ไม่เลวนะครับ
บันทึกการเข้า

- R u Happy with ur Rock&Roll ? -
คำว่าทางโลกกินความหมายแค่เรื่องของมนุษย์ ส่วนทางธรรมกินความหมายทั้งจักรวาล และ จักรยาน 555


ฮ่าๆ ใช่   ยกเว้น จักรยาน


ธรรมก็คือ ธรรมชาติอะครับ  ธรรมแบบไหน ใครเป็นคนอธิบายก็ต้องเลือกที่จะเชื่อเอา ด้วยธรรมของเรา (ธรรมชาติของเรานั่นแหละ)


การที่ฟลุ๊ค คิดว่าธรรมะ มันต้องศาสนาอย่างเดียว ทางธรรมมันต้องเป็นอย่างนุ้น ทางโลกมันต้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเราถูกปลุกฝังมา
สิ่งที่ช่วยในการปลูกฝังเราก็วัฒนธรรม นั่นแหละ และสิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะเป็นอุปกรณ์ในวัฒนธรรมของเราส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นรูปธรรม
ที่ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ สัญลักษณ์ บัญญัติต่างๆ ที่ทำให้มนุษย์ในสังคมเห็นภาพ จึงถูกนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นคำสอนต่างๆ
ก็ล้วนเป็นการอธิบายธรรมชาติ เหมือนกัน  ในตัวมนุษย์นี้ถือว่ามีธรรมอยู่เหมือนกัน นั่นคือธรรมชาติของเราเอง
ซึ่งบ้างครั้งเราอาจจะไม่เข้าใจนักแต่ เมื่อเกิดอะไรขึ้นที่ขัดต่อธรรม จิตใต้สำนึกของเราก็จะรับรู้ได้ มากน้อยหรือลางเลือน
มันก็ขึ้นอยุ่กับว่าเราถูกปลุกฝังมาอย่างไร ในสังคมแบบไหน
ดังนั้นคำว่าทางโลก หรือทางธรรม เป็นเรื่องของบัญญัติ แต่ในทางปฏิบัติมันก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอนแบบนั้นเสมอไป
เมื่อศาสนาที่แท้จริงมันมากเกินกว่าบัญญัติหรือคำสอน เป้าหมายของแต่ละคนจึ่งต่างกัน เพราะคำสอนก็ยอมมี
จุดประสงค์สูงสุดของมันต่างกัน เหมือนสุภาษิต ก็ยอมใช้ในกาลต่างกัน ศาสนาก็เหมือนกัน คนที่นับถือก็เหมือนกัน
บางคน เพื่อนิพพาน บางคนเพื่อสวรรค์  บางคนเพื่อนำมาประยุคต์ใช้กับชีวิตประจำวัน บางคนก็เพื่อสงบจิตใจ
หรือบางคนก็เพื่อฝึกตน  ก็แล้วแต่คนจะเลือกหยิบมาไว้ให้เหมาะกับตนและคำสอนที่เราหยิบจับมาเป็นหลักชัย
ถ้าดีจริง ย่อมสอนให้คนเป็นคนดี ~~ 
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ทางโลก: คนเรายังมีกิเลส ตัณหา อยากชนะ อยากได้นั่น ได้นี่ และอีกหลายๆ ความยาก


ทางธรรม: สิ่งที่ต้องเป็น ต้องมีอยู่ มีแล้วดับไป ไม่มีความแน่นอน
ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรม(ชาติ)ของมนุษย์ ของสังคม
เราก็จะไม่ต้องไปนึกถึงความอยากมี อยากดัง อยากเด่น ฯลฯ

อยากให้หลายๆคนลองเ้ข้าไปนั่งในโบสถ์สักสิบถึงสิบห้านาที
(ไม่ใช่เป็นกราบพระแล้วกลับนะ)

ช่วงมีเรื่องเครียด ๆ ผมก็ไปนั่งบ่อยครับ รู้สึกสงบดี  อืมมมมห์
บันทึกการเข้า

ตัวคนเดียว :]
บางคนก็เอาวิธีคิดทางโลก ไปคิดเรื่องทางธรรม
เช่นการได้กำไร ขาดทุน ได้บุญ เป็นบาป อะไรอย่างนี้
ก็เลยทำให้สับสนกันไปเรื่อย
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
+ กำนัน จักรี พี่อ๋าห์
บันทึกการเข้า

เราเป็นเช่นเราเชื่อ    :: tK ::    :: สีมา ::
บางคนก็เอาวิธีคิดทางโลก ไปคิดเรื่องทางธรรม
เช่นการได้กำไร ขาดทุน ได้บุญ เป็นบาป อะไรอย่างนี้
ก็เลยทำให้สับสนกันไปเรื่อย

 *  อ๊ะ.... ศิษย์พี่ใหญ่
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
 ไหว้

ขอบคุณสำหรับคำตอบและความคิดเห็นจากทุกคนมากครับ

เปิดมุมมองให้กว้างขึ้นได้เยอะเลย อืมมมมห์
บันทึกการเข้า

พี่มันแย่ พี่แพ้น้องฟรัง....5555+

เอเปรียบเทียบซะ อยากลงไปกิน MK เทรนดี้เลย

เดี๋ยวนี้เขาเต้นท่าใหม่แล้วนะครับ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
หน้า: [1]
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!