ด้วยครับ อิคคิว ตามความเห็นของผมนะ
ถ้าเราตีความคำว่า ศิลปะที่ไกลตัว คือศิลปะ ที่เป็น Pure art จริงๆ
หรือ ความรู้สึกที่อยากทำงานศิลปะ เขียนรูป ปั้นหุ่น จัดงานแสดง
คนไทย ไกลจากคำเหล่านี้จริงๆ ครับ เพราะถือว่าเป็นเรื่อง นอกเหนือปัจจัยดำรงชีวิต เรื่องของคนในวงการเท่านั้น
แต่ถ้าตีความแค่ ศิลปะ คือ สิ่งที่เค้าำทำมาตอบสนองความรู้สึกตัวเอง
อยากทำอะไรสักอย่าง มาเพื่อแสดงความรู้สึกตอนนั้นๆ เช่น
้เด็กๆ ทาปากแดงแปร๊ด เขียนคิ้วโก่ง ทาหน้าขาวเป็นตูดลิง ทำผมทรงเกาหลีแบบสุดฤทธิ์สุดเดช
หรือการทำแผ่นป้ายอิงค์เจ็ทในงานบุญทั่วไป พยายามออกแบบพระเครื่องเป็นพระขี่จักรยาน หนุมานถวายมือถือ อะไรแบบนี้
แม้แต่เล่นคอสเพลย์ของวัยรุ่น (การเล่นคอสเพลย์ก็เป็นศิลปะอย่างนึงนะ ใช้ความสามารถมากๆในการเลียนแบบมากๆ)
คนไทยเราก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่หรอกนะครับ ซึ่งมันก็เป็น "ศิลปะในแบบของเค้า"
แต่ว่า เราจะจัดว่า สิ่งที่เค้าทำอยู่ตรงนี้ มันเป็นศิลปะ หรือตรงกับรสนิยมทางศิลปะของเรามั๊ยน่ะสิครับ ...
คนต่างประเทศ (ประเทศที่รักศิลปะนะครับ)
เค้าจะคิดว่า ศิลปะ หรือ การแสดงออกทางอารมณ์ เป็นปัจจัย 4 อย่างหนึ่ง ที่คนเราต้องบริโภค เหมือนอาหาร
ถ้าเปรียบงานศิลปะดีๆ เป็นอาหารราคาแพง เป็น หมูหัน เป็ดปักกิ่ง หรือ กุ้งล๊อบสเตอร์
นานๆที เราได้กินซะบ้าง ก็เป็นความสุขในชีวิตแล้ว
แต่คนเราไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารราคาแพงขนาดนั้น ตลอดเวลา ก็ได้ไงครับ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
แต่อย่างน้อย วันนึงๆ เราก็ควรกินข้าวไข่เจียวซะบ้าง หรือ กินอะไร ไปบำรุง สมอง บำรุงอารมณ์ซะหน่อย
แค่นี้ ชีวิตก็ดีแล้ว เป็นต้นน่ะครับ
ผมเลยพยายามแสดงให้เห็นว่า
ถ้าคนเราขีดเส้นแค่ว่่า อะไรก็ได้ ที่มันกินได้เสพได้ เป็นศิลปะ เป็นอาหารทางความคิดแล้ว
เราจะเสพวันละนิด อย่างละหน่อย มันก็เข้าถึงได้แล้ว มันก็เป็นศิลปะ
แต่ถ้าเราขีดเส้นมันให้สูงขึ้นไปอีกหน่อย เช่น มันต้องปรุงอย่างดีนะ ต้องมีราคานะ ต้องทำยากนะแล้วเนี่ย
มันก็ยาก ที่เราจะใช้เวลาเสพมัน ในภาวะที่เราเองก็ยังคง รู้สึกว่า ชีวิตมันไม่จำเป็นขนาดนั้น
คนไทยเรา ยกศิลปะแบบ จริงจัง ไปสู่ในหมวดของกินราคาแพงไงครับ
มันเลยกลายเป็นสิ่งที่ชีวิตไม่จำเป็นต้ิองกินขนาดนั้นก็ได้
และคนบางกลุ่ม ก็ไม่จัดเป็นอาหารที่สำคัญอย่างนึงสำหรับชีวิตเลยด้วยซ้ำ
มันเลยไกลจากชีวิตปรกติ ของคนเราไงครับ
ตัดหน้ากระจุย 4 คน