หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมคนไทยจึงรู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื  (อ่าน 27634 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
มีเรื่องศิลปะการทำอาหารแล้ว + หยี
บันทึกการเข้า

เราเป็นเช่นเราเชื่อ    :: tK ::    :: สีมา ::
ถูกครับ ผมก็ชอบงานเีขียนมือ อย่างป้ายหนังสมัยก่อน ใช้มือคนเขียน
อาจารย์โยดาหน้าเหมือนลิงบาบูน  อาร์โนลหน้าเหมือนสมบัติ เป็นต้น
มันคลาสสิกมากเลยนะครับ  มันเลยเป็นอีกเสน่ห์นึงไปในยุคนั้นๆ

ปัจจุบันยุคดิจิตอลแล้ว ยุคธุรกิจเฟื่องฟูแล้ว เสน่ตรงนี้เลยเปลี่ยนไป
ทุกวัดใช้ร้านเดียวกันหมด ฟอแมทเดียวกัน ปรินท์ส่งเปลีย่นชื่อวัดอย่างเดียว
จนเหมือนกันทั่วประเทศแล้ว แต่ถ้าเด็กทีเ่กิดในยุคนี้ดู ก็อาจจะได้ฟิลความรู้สึกและการรับรู้ไปอีกแบบก็ได้นะ
ว่า เออ จริงๆแล้ว ศิลปะของการทำป้ายในวงการศาสนาไทย เป็นอย่างนี้นะ
อนาคตเค้าอาจจะใช้ โฮโลแกรม? ขึ้นแทนป้าย เค้าก็อาจบ่นเสียดายไม่ได้เห็นงานอิงค์เจ็ทแบบนี้ก็ได้เหมือนกันนะ

มันเลยกลายเป็นเรื่องของ รสนิยมทางศิลปะนั่นแหละ ที่เป็นตัวตัดสินชัดสุดว่า
คนไทยเรา ชอบเสพเรื่องแบบไหน ไม่ชอบเรื่องแบบไหน แทน
บันทึกการเข้า

- R u Happy with ur Rock&Roll ? -
ก็เลยสงสัยไงครับว่าเดี๋ยวนี้เราละเลยอะไรไปหรือเปล่า
ไม่สนใจดอกไม้ข้างทางหรือเปล่า
หรือด้วยสภาพเศรษฐกิจสังคมมันพาเราไปในทางที่เอาสะดวกแดกด่วนเข้าว่ากันหมด
ขนาดนโยบายรัฐบาลไม่ว่าจะสมัยก่อนหรือสมัยนี้
เราก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมว่าเฮ้ย เราจะพัฒนามิติการศึกษานะ เห็นแต่พูดเรื่องปากท้อง

พอไอ้แบบนี้มันอยู่กับเราสักห้าปี สิบปี มันจะซึมเข้าเส้นเลือด
แล้วก็ผลิตคนรุ่นที่ฝังแนวคิดนี้ติดกบาลไปอีก 1 ชั่วคนเลยนะครับ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ครับ แล้วก็เราจะมานั่งฝากความหวังกับคนรุ่นถัดไปอีกเรื่อยๆ  ฮิ้ววว

เพราะมิติสังคมปัจจุบัน มันฝากไว้กับปากท้องและเงินทองหมดแล้ว
สังคมไทย เป็น ทุนนิยม เต็มขั้นแล้วครับ ถึงระดับรากของรากหญ้าเลยด้วย

คนเราเลยเร่งเพื่อหาเงินมาตอบสนอง ความต้องการ ของตัวเอง ทั้งๆที่บางอย่าง ทำเองก็ได้มั้ง
เราจะเข้าถึงศิลปะ เราเลยต้องมีเงินก่อน แล้วเอาเงินไปซื้อศิลปะมาเสพ
ศิลปะราคาแพง มันมีค่าความเป็นศิลปะ มากกว่า ศิลปะ ทำมือ เพราะถ้าไม่ดีคงไม่แพงหรอก
ยิ่งถ้าอยู๋ในแกลลอรีหรูๆ ศิลปินดังๆ เข้าถึงยากๆ มี 1.45079 ภาพในโลกอะไรอย่างนี้ ยิ่งประเสริฐ

มันเลยย้อนกลับมาต้นคำถามไงครับ ว่าทำไม ศิลปะถึงไกลตัว
เพราะคนเราต้องหาเงินมามากๆเพื่อจะได้งานเสพศิลปะ "ดีๆ" สักหนึ่งอัน
อาจเอาไว้โชว์กัน หรือเอาไปตอบสนองอะไรบางอย่างในตัวเองก็เถอะ
สุดท้าย มันเลยกลายเป็นเรื่อง ปัจจัยอันดับท้ายๆไป ให้คนมีเงินทองเหลือเฟือเค้าเสพไปเถอะศิลปะ
แค่เย็นนี้ หาข้าวกินได้ให้ก่อน ก็ดีจะแย่อยู่แล้ว เป็นต้น

สุดท้าย โยงเข้ากับเรื่องเศรษฐศาสตร์ไปซะแล้ว  กร๊าก
บันทึกการเข้า

- R u Happy with ur Rock&Roll ? -
ถ้าคนยังอดอยาก ศิลปะก็ยังไกลตัว

ถ้าศิลปะใกล้ตัว
ผมต้อง รวยก่อน คุมอง  ยิ้มน่ารัก
บันทึกการเข้า

บทสรุปมันก็วกกลับที่เรื่องปากท้องนั่นแหละนะ


คงต้องเปลี่ยนมาพัฒนาคน พัฒนาประเทศให้รู้จักคำว่าพอ
เมื่อไหร่ที่เราพอ เราจะมีเวลาให้กับตัวเองได้เหลียวมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว
มีเวลาพอที่จะค้นพบว่าจริงๆ ศิลปะมันอยู่รอบตัว
บันทึกการเข้า

เราเป็นเช่นเราเชื่อ    :: tK ::    :: สีมา ::
สรุปตามที่ผมเข้าใจคือที่ทำให้รู้สึกว่าคนไทยเห็นศิลปะเป็นเรื่องไกลตัวคือ
1.รสนิยมทางศิลปะไม่ตรงกัน
2.ปัจจัยและค่านิยมในการเสพศิลปะ
ผมเข้าใจถูกไหมครับ?แต่ผมรู้สึกขัดๆกับคำว่ารสนิยมทางศิลปะไม่ตรงกันนะครับไม่ตรงนี่คือไม่ตรงกับใครหรอครับ?ใช่ไม่ตรงกับคนที่คิดว่าทำไมคนไทยจึงรู้สึกว่าศิลปะเป็นเรืองไกลตัวหรือเปล่าครับ?
 :46:ขอบคุณทุกๆคนที่มาแสดงความคิดเห็นนะครับขอ+ทุกๆครั้งที่จำได้เลยครับ
บันทึกการเข้า

ข้อ 1 ยังสรุปไม่เป็นรุปธรรมครับ คืออ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ
ส่วนข้อ 2 นี่ไม่เชิงว่าเป็น "ปัจจัยและค่านิยมในการเสพศิลปะ" นะ
แต่เปลี่ยนคำว่า "เสพศิลปะ" เป็นคำว่า "ใช้ชีวิต" ก็อาจจะกลมกล่อมขึ้น

ปัจจัยและค่านิยมในการใช้ชีวิต
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ

ชาวบ้านอีสานแถวบ้านผม
ไม่นิยมเสพศิลปะที่เป็นสิ่งพิมพ์นัก เช่นภาพเขียน โปสเตอร์ อะไรอย่างนี้
อาจรวมไปถึงหนังสือ วรรณกรรม บทกวีด้วย

ที่เห็นเสพแทบทุกวันคือ เพลง หมอลำ คาราโอเกะ
(มีงานบุญ งานรื่นเริงอยู่บ่อยๆ ส่วนมากมีหมอลำยืนพื้น
ไอ้พวกป้ายหรืออะไรนี้ไม่ค่อยเห็นขึ้นป้ายบอกกันนะ)

อย่างนี้พอช่วยได้ไหมครับ
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
เออๆ น่าสนใจพี่
แถวบ้านลุงอ๋าห์เนี่ย เป็นอารมณ์ความเจริญ ทุนนิยมถาโถมหรือยังครับ
ผมว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนอันนึงเลยนะ

อิคคิวลองหาอ่านเรื่องสั้นชุด "เราหลงลืมอะไรบางอย่าง" ดูสิ
มันมีคำตอบเดียวกับเรื่องป้ายงานวัด หรือเรื่องหมอลำสกล
ละลายเจือปนอยู่ในนั้นเยอะเลยนะ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
รสนิยมทางศิลปะไม่ตรงกัน ยกตัวอย่างตามที่ผมเข้าใจนะครับ
กลุ่มนายส.ชอบสีเหลืองกลุ่มนายท.ชอบสีแดงแล้วทั้ง2กลุ่มก็คิดว่าสีของตัวเองนี่แหละคือศิลปะแล้วก็ทำให้มองกลุ่มที่ชอบสีอื่นว่ามันไม่ใช่ศิลปะ
ปล. ผมว่าอย่าหวังกับคนรุ่นต่อไปเลยครับยิ่งนานไปวัยรุ่นยิ่งเป็นพวกวัตถุนิยมมากขึ้นเป็นไปตามกระแสมากขึ้นเพราะว่าถูกนายทุนแล้วก็ผู้ใหญ่บางคนมอมเมาอยู่แบบนี้พอนานๆเข้าก็กลายเป็นเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามพวกที่แปลกแยกออกไปก็กลายเป็นลูกเป็ดขี้เหร่พอรุ่นนี้ได้รับการปลูกฝังไว้แบบนี้ก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป ๆ ๆ จะว่าไปเหมือนธุรกิจขายตรงนะครับ ฮิ้ววว
โอว ปั่นกันกระจุย มีคนตัดหน้าคุณตั้ง 2 คนแน่ะ
ผมเคยอ่านหนังสือ กันดาร คือ สินทรัพย์ อีสาน ผมว่าหนังสือเล่มนี้เจ๋งมากเลยนะครับ
http://www.tcdc.or.th/isanvr.php
เดี๋ยวไว้จะลองหาอ่านเรื่องสั้นชุด "เราหลงลืมอะไรบางอย่าง อีกเล่ม กรี๊ดดดดด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ก.ค. 2009, 13:48 น. โดย อิคคิว » บันทึกการเข้า

ด้วยครับ อิคคิว  ตามความเห็นของผมนะ  ฮิ้ววว

ถ้าเราตีความคำว่า ศิลปะที่ไกลตัว คือศิลปะ ที่เป็น Pure art จริงๆ
หรือ ความรู้สึกที่อยากทำงานศิลปะ เขียนรูป ปั้นหุ่น จัดงานแสดง
คนไทย ไกลจากคำเหล่านี้จริงๆ ครับ เพราะถือว่าเป็นเรื่อง นอกเหนือปัจจัยดำรงชีวิต เรื่องของคนในวงการเท่านั้น

แต่ถ้าตีความแค่ ศิลปะ คือ สิ่งที่เค้าำทำมาตอบสนองความรู้สึกตัวเอง
อยากทำอะไรสักอย่าง มาเพื่อแสดงความรู้สึกตอนนั้นๆ เช่น
้เด็กๆ ทาปากแดงแปร๊ด เขียนคิ้วโก่ง ทาหน้าขาวเป็นตูดลิง ทำผมทรงเกาหลีแบบสุดฤทธิ์สุดเดช
หรือการทำแผ่นป้ายอิงค์เจ็ทในงานบุญทั่วไป พยายามออกแบบพระเครื่องเป็นพระขี่จักรยาน หนุมานถวายมือถือ อะไรแบบนี้
แม้แต่เล่นคอสเพลย์ของวัยรุ่น (การเล่นคอสเพลย์ก็เป็นศิลปะอย่างนึงนะ ใช้ความสามารถมากๆในการเลียนแบบมากๆ)
คนไทยเราก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่หรอกนะครับ ซึ่งมันก็เป็น "ศิลปะในแบบของเค้า"

แต่ว่า เราจะจัดว่า สิ่งที่เค้าทำอยู่ตรงนี้ มันเป็นศิลปะ หรือตรงกับรสนิยมทางศิลปะของเรามั๊ยน่ะสิครับ ...

คนต่างประเทศ (ประเทศที่รักศิลปะนะครับ)
เค้าจะคิดว่า ศิลปะ หรือ การแสดงออกทางอารมณ์ เป็นปัจจัย 4 อย่างหนึ่ง ที่คนเราต้องบริโภค เหมือนอาหาร
ถ้าเปรียบงานศิลปะดีๆ เป็นอาหารราคาแพง เป็น หมูหัน เป็ดปักกิ่ง หรือ กุ้งล๊อบสเตอร์
นานๆที เราได้กินซะบ้าง ก็เป็นความสุขในชีวิตแล้ว
แต่คนเราไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารราคาแพงขนาดนั้น ตลอดเวลา ก็ได้ไงครับ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
แต่อย่างน้อย วันนึงๆ เราก็ควรกินข้าวไข่เจียวซะบ้าง หรือ กินอะไร ไปบำรุง สมอง บำรุงอารมณ์ซะหน่อย
แค่นี้ ชีวิตก็ดีแล้ว เป็นต้นน่ะครับ

ผมเลยพยายามแสดงให้เห็นว่า

ถ้าคนเราขีดเส้นแค่ว่่า อะไรก็ได้ ที่มันกินได้เสพได้ เป็นศิลปะ เป็นอาหารทางความคิดแล้ว
เราจะเสพวันละนิด อย่างละหน่อย มันก็เข้าถึงได้แล้ว มันก็เป็นศิลปะ
แต่ถ้าเราขีดเส้นมันให้สูงขึ้นไปอีกหน่อย เช่น มันต้องปรุงอย่างดีนะ ต้องมีราคานะ ต้องทำยากนะแล้วเนี่ย
มันก็ยาก ที่เราจะใช้เวลาเสพมัน ในภาวะที่เราเองก็ยังคง รู้สึกว่า ชีวิตมันไม่จำเป็นขนาดนั้น

คนไทยเรา ยกศิลปะแบบ จริงจัง ไปสู่ในหมวดของกินราคาแพงไงครับ
มันเลยกลายเป็นสิ่งที่ชีวิตไม่จำเป็นต้ิองกินขนาดนั้นก็ได้
และคนบางกลุ่ม ก็ไม่จัดเป็นอาหารที่สำคัญอย่างนึงสำหรับชีวิตเลยด้วยซ้ำ
มันเลยไกลจากชีวิตปรกติ ของคนเราไงครับ  ฮิ้ววว

ตัดหน้ากระจุย 4 คน
  หมีโหด~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ก.ค. 2009, 13:58 น. โดย O.D.M. » บันทึกการเข้า

- R u Happy with ur Rock&Roll ? -
โพสต์พี่อ๋าห์ทำให้นึกถึงเครื่องมือเครื่องใช้ของเกษตกร
ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนของชาวบ้าน
ที่เคยเห็นตอนเด็กๆ เค้ามักจะมีการสลักเสลาเป็นรูปร่าง หรือลวดลาย
ลงไปบนข้าวของเครื่องใช้ด้วย เช่นด้ามกระบวยตักน้ำ รู้จักกันรึเปล่า
มันก็จัดเป็นงานศิลปะใช่มั้ยคะ



//อ่านของโอดำแล้วคิดว่า
คนไทยจำนวนไม่น้อยมีปัญหาเรื่องความเข้าใจคำว่า "ศิลปะ"
คนส่วนมากไปตีความว่ามันเป็นของสูงส่ง อย่างที่กล่าวกันไว้แล้ว
บันทึกการเข้า

เราเป็นเช่นเราเชื่อ    :: tK ::    :: สีมา ::
ใช่ครับ พี่ติ๊ก ถ้าเราตีค่าแค่ว่า มีข้าวเปล่า ก็กินได้แล้ว
มันก็พอแล้วไงครับ ที่เราจะกินแค่นี้
แตุ่้ถ้าเราตีว่า มีข้าวไม่ได้ ต้องมีกับ สามอย่าง
มันก็ยากขึ้น เหนื่อยขึ้นที่จะกินมันไงครับ
ยิ่งพอตั้งว่า มันคือ อาหารสุดแพง คนรวยถึงจะกินได้
เราก็ไม่คิดว่าจะต้องกินมันแล้วไงครับ


มันเลยย้อนกลับไปเรื่องที่เคยคุยกันก่อนหน้า นานมาแล้ว
เพราะเราเคยตั้งค่าคำว่า "ศิลปะแห่งชาติ" ไว้สูงไปไงครับ
เป็นเรื่องของช่าง เรื่องของศาสนา เรื่องของพระมหากษัตริย์
เป็นเรื่องของ การที่ต้องมีพิธีอะไร หรือ กิจกรรมอะไรสักอย่าง เราถึงจะได้ใ้ช้มัน
มันต้องเข้าใจยาก มันต้องทำยาก มันต้องประณีต มันต้องอะไรหลายๆอย่างที่ยากจะเข้าถึง
มันเลยอยู่บนหิ้งซะอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้

บันทึกการเข้า

- R u Happy with ur Rock&Roll ? -
อะ อันนั้นสมมติว่าเราเข้าใจกันแล้ว
เพราะหลายๆ กระจู๋คำถามแนวนี้ก็ได้รับคำตอบกันแล้วครับว่าศิลปะมีทั้งแบบบนหิ้งและแบบจับต้องได้

ทีนี้อีแบบที่จับต้องได้ และอยู่กับวิถีอย่างเราๆ นี่แหละครับประเด็น
คือมันเริ่มจะไกลตัวเราขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกแบบนี้ไหมครับ (ตูพยายามจะชวนคุยเรื่องนี้)

ยกตัวอย่างก็เรื่องป้ายงานวัดนั่น
และเรื่องกระบวยที่ผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรมก็ดี
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!