+ทั้งพี่แอนและพี่เก้อเลยครับ อย่างงี้งานออกแบบส่วนมากก็เอาแค่ให้ตอบโจทย์ที่ได้รับก็พอหรอครับคือสื่อกะtarget groupรู้เรื่องและสวย(ในสายตาของtarget group)
gimmicหรือทฤษฎี ไม่ต้องสนใจเพราะยังไงคนส่วนมากก็ไม่ได้ดูหรือไม่ได้สนใจที่จะหาความหมายในงานอยู่แล้ว
สิ่งที่พูดมา เรื่องTarget group มันก็คือส่วนหนึ่งของทฤษฎีการออกแบบอยู่แล้วละมังครับ
ผู้ออกแบบคือคนส่งสาร ผู้ชมคือผู้รับสาร ซึ่งเราจะต้องคำนึงถึง
แต่เข้าใจความหมายนะครับ ว่าอิคคิวหมายถึง อย่างทำโปสเตอร์โฆษณายาฆ่าหญ้า
ซึ่งผู้ชมคือพี่น้องรากหญ้า ก็ต้องสีสดๆ เด้งๆ ตัวหนังสือใหญ่ๆ โปรดัคต์ใหญ่ๆ โลโก้เน้นใหญ่ๆ
(สรุปว่าทุกอย่างแม่งใหญ่หมด) ซึ่งทุกอันที่ว่ามา ขัดกับทฤษฎีความงามหมดเลย
ถ้าคำถามคือยังงี้ ก็ต้องตอบว่า ยินดีด้วย ใช่ครับ เราต้องทำตามนั้น
ทางออกเดียวของนักออกแบบคือ เลี่ยงงานประเภทนั้นซะ ยังไงซะ
การที่มีคนจ่ายเงินให้เรา เขาก็ต้องการให้กระบวนการ ส่งสาร(ออกแบบ) ---->ผู้รับสาร
ให้สัมฤทธิ์ผล ถ้าผู้รับสาร พูดภาษาเขมร เราไปพูดนอร์เวย์ด้วย ยังไงเขาก็ไม่รู้เรื่อง
เราก็ไปพูดกับคนที่ฟังนอร์เวย์ออก หรือพอกระดิกแทน
งานออกแบบกับสังคม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนั่นเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจ
สังคมไทยก็เป็นอีกสังคมที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางศิลปะวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
(เราชอบบอกว่าเรามีศิลปะ-วัฒนธรรม แต่เอาจริงๆมันไม่ได้ซึมอยู่ในวิถีชีวิตจริงๆหรอก)
แต่เราสามารถทำให้มันเข้มแข็งขึ้นได้ นักออกแบบอย่างอ.ประชา ก็เน้นย้ำอยู่บ่อยๆ
ว่าบนโครงสร้างสังคมแบบเก่า เราต้องการจะทำงานแบบใหม่ มันอาจจะยาก
แต่เราต้องค่อยๆผลักเส้น ให้มันขยายออกไปเรื่อยๆ เราอาจต้องยอมเจ็บปวดบ้าง
ที่คนไม่เข้าใจ แต่เราค่อยๆทำไปได้ เมื่อก่อนวงดนตรีอินดี้แบบริชแมนทอยก็ไม่มี
หน้าปกซีดีสวยๆแบบเบเกอรี่ หรือสมอลล์รูมในตอนนี้ก็ไม่มี แต่ในที่สุดมันก็มี
คลื่นแบบแฟตหนังสืออะเดย์ ทุกวันนี้ก็กลายเป็นของทั่วไปไม่แปลกประหลาดอะไรแล้ว
ผมว่าปัจจุบันมันเปิดกว้างพอที่เราจะทำอะไรก็ได้แล้ว ในวงกว้างมันก็ต้องใช้เวลา
และมันไม่ใช่ความผิดของใคร ประวัติศาสตร์มันพาเราเดินทางมาแบบนี้
ประเทศเราเป็นมาแบบนี้ ก็เป็นหน้าที่ของเรานี่ล่ะ ที่ต้องช่วยกันผลักให้มันก้าวไปข้างหน้า
ส่วนที่บอกว่า แค่ตอบโจทย์ที่ได้รับก็พอหรือเปล่า
ต้องถามกลับว่า เราเองต่างหากล่ะ ตอบโจทย์นั้น ได้ดีแค่ไหน
อย่างโฆษณาไทยที่ทำมุกควายๆทั้งหลาย(ของพี่ต่อ ฟีโน)
เขาก็มีโจทย์คือ ทำให้ชาวบ้านรากหญ้าเข้าใจ
โจทย์เดียวกัน แต่เขาสามารถตอบออกมาได้อย่างถึงกึ๋นและถึงกลุ่มเป้าหมาย
และยังได้รับรางวัลมากมายจากทั่วโลก จากคานส์ที่ว่าเจ๋งๆด้วย
ดังนั้นถ้าจะพิพากษาว่าการทำตอบโจทย์คือฝันร้ายของคนออกแบบ
ก็ต้องถามกลับว่า เราตอบได้ยังไม่สร้างสรรค์พอหรือเปล่า
เอาชนะข้อจำกัดตรงนี้ไม่ได้เองไหม
อย่างรายการเวิร์คพอยต์ตั้งหลายรายการที่ผมเห็นว่าทั้งตอบโจทย์(แบบชาวบ้านร้านตลาดนี่แหละ)
และมีคุณค่าในการออกแบบ หรือความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม
ฉากในชิงร้อยชิงล้านนั่นก็ใช่ทั้งสร้างสรรค์ทั้งชาวบ้านดูฮา, รายการชิงช้าสวรรค์,
หม่ำโชว์, รายการคุณพระช่วย จำพวกนี้
การออกแบบ คือการแก้ปัญหาโดยมีปัจจัยเป็นข้อจำกัดต่างๆเหล่านี้
เราปฏิเสธมันไม่ได้ มันคือ"ส่วนหนึ่ง"ของงานออกแบบ เพราะยังไงเราก็ต้องท่องไว้ในใจ
ว่ามันคือการสื่อสาร ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องทำงานเก็บไว้ดูคนเดียว สื่อสารกับตัวเองคนเดียว
ของเก้อพูดคล้ายๆ ว่า
ที่เราเลือกซื้อของ(โดยเฉพาะเสื้อผ้าเสื้อผ่อน)เนี่ย
เพราะยี่ห้อ เพราะฉลากของมันมากกว่าฟังก์ชันประโยชน์การใช้สอยใช่มะ
นี่ยิ่งตอกย้ำถึงความไร้รสนิยมด้านแฟชั่นของตูยิ่งนัก
ที่ว่าทุกอย่างพกความหมายมาด้วย ยี่ห้อเสื้อผ้านอกจากจะพกความหมายมาแล้ว
ยังพกมูลค่าทางการตลาดมาด้วย
จริงๆก็แบรนด์ของทุกชนิดนั่นแหละ
เหมือนที่เราสนับสนุนให้คนใช้หมาย่างแทนไออี นี่ก็ยี่ห้อ
แต่ก่อนที่คนจะเข้าใจความหมายของมัน ก็เมื่อมีประสบการณ์แล้ว
ความหมายพวกนี้ ประสบการณ์เป็นตัวสร้างขึ้น เรื่องเสื้อผ้านี่ก็ชัดนะครับ
อย่างประสบการณ์กับแฟชั่นของพี่แอนมีน้อย ความหมายของยี่ห้อเสื้อผ้าต่อพี่แอนจึงน้อยตาม
ดังนี้เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไอ้คนเราเนี่ยส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าแค่เพื่อฟังก์ชั่นการใช้สอยแน่ๆ