ศ.ณต มาละ
เดี๋ยวท่านก็คงจะมาชี้แจงเหตุของปัญหาที่รัฐสร้างไว้
และปมของน้องนิวเคลียร์ที่ท่านเคยคิดจะแก้
(นี่ จัดเข้ากลุ่มตัวเองเรียบร้อย
)
ตามปกตินักวิชาการมักจะฟัดกันเองนะครับ
ขออนุญาตมองต่างมุมกับ ท่านอาจารย์อ๋าห์นะครับ
ผมคิดว่าท่าน อ.อ๋าห์ หลงประเด็น
เนื่องจากเรื่องการบ่มเพาะนิสัยฟุ่มเฟือยนี่
ต่อให้ไม่สร้างนิวเคลียร์
ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวบ้านจะไม่ฟุ่มเฟือย
เพราะการกระตุ้นการบริโภค
ด้วยวิธีการทางการตลาดต่างๆ นานา
นั่นต่างหาก ที่เป็นต้นเหตุ
ก่อนอื่นต้องยอมรับกันก่อนว่า
ไฟฟ้า เป็นหนึ่ีงในโครงสร้างพื้นฐาน
ที่สำคัญของประเทศ
เหมือนกับคำขวัญยอดฮิตในสมัยนึงว่า
"น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ"
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นโครงสร้างพื้นฐาน
ที่รองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
สำหรับเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น
ผมว่าหลายๆ คน ยังได้รับฟังข้อมูลมาผิดๆ
รวมไปถึงคำพูดเหน็บแนม
ตรงนี้ผมขอชี้แจงครับ
ว่าตามมาตรฐานการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เขามีข้อกำหนดอยู่แล้วว่า
ต้องให้อยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนประชาชน
หรือเขตที่พักอาศัยหรือชุมชน
ดังนั้นคำพูดประมาณว่า
ให้คนสนับสนุนย้ายบ้านไปอยู่แถวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
หรือให้ไปสร้างโรงไฟฟ้าแถวบ้านท่านนาย ก นั้น
นั่นเป็นคำพูดเหน็บแนมที่ไร้สาระ
เพราะถ้าจะสร้างจริงๆ แล้วกลัวอันตราย
เราก็สามารถกำหนดเพิ่มระยะห่าง
ของโรงไฟฟ้ากับชุมชนได้ไม่ใช่หรือ
และด้วยเทคโนโลยีการผลิตพลังงานที่มีอยู่เจ็ดแบบ
(Fossil, Flowing Streams of Water, Ocean Tidal Wave
Wind, Solar, Terrestrial Heat, Nuclear)
Nuclear ถือว่ามีค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุด
มีมลภาวะเกิดขึ้นน้อยที่สุด ปลอดภัยมากที่สุด
ดังนั้นผมว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
แต่ก็จะมีคำพูดที่ว่า เชื่อว่าปลอดภัย
แต่ไม่เชื่อการควบคุมคุณภาพของคนไทยนั้น
นี่ก็เป็นคำพูดที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก
เพราะถ้าคุณยอมรับการสร้างโรงไฟฟ้าแบบอื่นๆ ได้
ความซับซ้อนในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ก็ถือว่าซับซ้อนน้อยกว่าโรงไฟฟ้าแบบอื่นๆ เสียอีก
ช่วงนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะยาวเกินไป