เห็น NGO ออกมาพูดเลยนึกขึ้นได้
ไม่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรอก
แต่ตามประสานักวิชาการ ก็อยากพูด
มีโครงการรักษาสิ่งแวดล้อมยอดนิยม
ที่ผมตั้งคำถาม และไม่เคยเห็นด้วยมาโดยตลอด
โครงการนั่นคือการปลูกป่า
ซึ่งเราเห็นหลายๆ หน่วยงาน สถาบันการศึกษาต่างๆ
รวมถึง NGO จัดโครงการนี้บ่อยๆ
ในความเห็นของผมคือ
โครงการปลูกป่านี้เป็นโครงการที่เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง
และเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกที่ผิดๆ ต่อผู้คนด้วย
หลายๆ คนคงจะสงสัยแล้วว่าทำไม
ผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้
โครงการปลูกป่าที่ผมเห็นมา
ส่วนใหญ่ก็คือเรี่ยไรเงินไปซื้อต้นกล้าไม้มา
แล้วก็ระดมคน เดินทางไปยังพื้นที่
ช่วยกันปลูก จะพันต้น หมื่นต้น ก็แล้วแต่
เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปประชาสัมพันธ์
หลังจากก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ผมเชื่อว่าหลายๆ คนเคยปลูกต้นไม้
เอาง่ายๆ ก็ ย้ายต้นไม้จากกระถางลงดิน
ผมถามว่า กว่าต้นไม้ที่ย้ายจากกระถางลงดินนั้น
จะเติบโตขึ้นมาได้ เราต้องดูแลมันขนาดไหน
ต้องคอยรดน้ำทุกวัน เด็ดใบเหี่ยวๆ ทิ้ง ถางวัชพืชที่ขึ้นรอบๆ
และอื่นๆ ที่ต้องทำมากมาย
หลายคนคงรู้ว่า กว่าต้นไม้จะแข็งแรงได้
ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน
คำถามของผมคือ
ต้นไม้จากโครงการปลูกป่าพวกนี้
จะเหลือรอดเติบโตต่อไปได้สักเท่าไหร่กัน
เพราะคุณๆ ทั้งหลาย ไปปลูกป่ากันวันเดียว
ถ่ายรูปเสร็จ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
มีใครไปคอยรดน้ำ กล้าไม้พวกนั้นวันต่อๆ ไปไหม
มีใครไปดูแลคอยถางวัชพืชไหม
แล้วถ้าเจอพายุ มีใครเอาหลักไปผูกไม่ให้ต้นไม้ล้มไหม
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจกัน
ที่เราเริ่มโครงการปลูกป่ากันมาเป็นสิบปี
แต่ทำไมพื้นที่ป่าไม้ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง
และไม่มีผืนป่าใหม่ๆ เกิดขึ้นเลย
ล่าสุดผมกลับเมืองไทยไปแถวสมุทรสงคราม
ก็ยังเห็นแปลงปลูกป่าชายเลนขององค์กรนึง
ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ตายซาก สุดลูกหูลูกตา
เจตนาของโครงการอาจจะดี
แต่จะให้ดี เราควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
โครงการปลูกป่าไม่ใช่แค่ใช้เวลาวันเดียว
ระดมเงิน ระดมคนไปปลูกป่า ถ่ายรูปแล้วกลับบ้าน
แต่ต้องคอยดูแลต้นไม้ที่ปลูกด้วย
ซึ่งนั่นจะเป็นงานที่ใช้เวลา
เจ็ดวันผมก็ยังถือว่าน้อยเกินไป
ยังไงก็ฝากทุกฝ่ายช่วยกันพิจารณาด้วยนะครับ