คำตอบต่อไปนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- หากจะให้ดีมีคุณค่ามาก และ มีเวลาพอ ควรอ่านให้ครบทั้งสองส่วน
- แต่หากมีเวลาน้อยให้อ่านโพสต์ข้างล่างที่เป็นการสรุปคำตอบก่อนได้เลย
ต่อไปนี้เป็นโพสต์อธิบายส่วนแรก
ไงก็ระวังเข้าไว้ ไม่ว่าเขาจะอ่านหรือไม่ก็ตาม
เพราะโอกาสที่เราจะสื่อกันแบบเข้าใจตรงกันมันยากในชั้นเชิงของเวลาและวาทะกรรม
หลวงพี่ไม่ชอบทำเช่นนั้น เพราะเจตนาเราตรงนี้แค่มุ่งอธิบายผู้สงสัยในพุทธศาสนา
ไม่ได้มุ่งประเด็นสังคมอะไรมาก มันกระทบหรือพูดถึงไม่ได้มากด้วยภาวะตรงนี้
ต่อให้หลวงพี่มีความเห็นต่างจากพระเถระรุ่นก่อน หลวงพี่จะแย้ง หรือ
ไม่เห็นด้วยกับระบบการหรือวิธีการปกครองรวมถึงวิธีการสอน การแก้ปัญหาอะไรก็ตาม
ในขณะนี้รู้ตัวว่าเป็นใคร ทำได้แค่ไหน ไม่อยากให้ใจเศร้าหมองเพราะคนอื่น
พยายามรักษาจิตตนอยู่ แม้กิจที่ทำอยู่ตรงนี้ก็ใคร่คิดอยู่ตลอด
เราจะเป็นพระให้ถูกต้องมันทำไม่ได้ง่าย ยิ่งให้สังคมพึ่งได้ยิ่งหนักเข้าอีก
เรื่องสมการโครงสร้างเชิงอำนาจมันก็ขึ้นอยู่กับบทบาทหน้าที่
และความคาดหวังของสังคมนั่นละครับ เราอยู่จุดไหนของสังคมมันจะเตือนเอง
บางครั้งเราไม่ได้อยากเป็น สังคมผลักไสให้เป็นก็มี ครั้นเป็นตามนั้นบางทีมันก็ติด
นาน ๆ เข้าแกะไม่ออก ตรงส่วนนี้โยมพอมองออกน่ะ...
ฉะนั้นพระติดยศฐานันดรอะไรก็มีส่วนของสังคมภายนอกนี้ละมาก้าวก่ายด้วย
ส่วนมากอาจก็ทำหน้าที่สอน ๆ ไป ครั้นสอนดีโยมก็ติด
เราจะเห็นได้ว่าเพราะเหตุผลเหล่านี้ด้วยที่ทำให้มีความคิดแตกแยกนิกายกันไป
แทนที่จะมุ่งที่พระพุทธเจ้า ดันติดอยู่แค่หลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงปู่ทั้งหลายก็มีเยอะครับ
หลวงพี่ไม่อยากรู้จักโยมมากก็เพราะลำบากใจตรงนี้ส่วนหนึ่ง ไม่ชอบให้โยมมาติด
ครั้นสอนไม่ดี หรือออกแนวเขวหรือรุนแรง หรือคิดต่างจากเดิมหน่อยก็โดนด่าบ้าง
ส่วนนี้ก็เป็นแบบที่บ้านเราเห็น ๆ กันอยู่
ดังนั้นในการสนทนาตรงนี้บางครั้งมันก็มีบอกกล่าวกันบ้าง "โยมต้อง...คนนี้ใครกันไม่รู้จัก ฮาาา
"
เหตุผลเพื่อรวบรัดให้คำอธิบายเหตุผลให้สั้นลง บางครั้งมันก็จำเป็นต้องมี
ตรงนี้หลวงพี่ต้องการรวบรวมองค์ความรู้ก็เพื่อมุ่งเตือนสติกันไว้
ไม่ได้มีความหมายในเชิงสัญญะอะไรนัก เป็นก็แต่เพียงบริหารองค์ความรู้
เพื่อรวบรัดให้เข้าใจได้เร็ว เหมือนจะเป็นการลากโยมไปบ้างเพื่อให้ถึงเร็ว
หากเดินกับลูกมันเดินช้าแต่เรามีภาระที่ต้องทำกิจในชีวิตอยู่ก็อุ้มเลยครับ
ปล่อยให้เดินโต๋ะเต๋ะมากก็จะช้าเกิน อันไหนรวบรัดได้เราก็ควรรวบรัด
อย่างที่เคยบอกกล่าวไว้ พระมีหน้าที่แต่จะยังสติให้เกิดเท่านั้น
หากเราเตือนสติให้บุคคลทางสังคมได้ก็จักมีประโยชน์แก่ชีวิตเขา
ถ้าไม่ปรารถนาดีเรา เขาไม่ให้ยุ่งเราก็ไม่ยุ่งไม่พูดไม่ทำอยู่แล้ว
โยมเก้ออาจมองว่าเราไม่ใช่เด็ก แต่ด้วยประสบการณ์ที่เรามองผ่านมาแล้ว
หากเทียบหลวงพี่เป็นไกด์นำทางในเส้นนี้ พิจารณาเห็นส่วนไหนที่มีประโยชน์ก็จัดการให้
ส่วนไหนเว้นแล้วปลอดภัยเราก็พาไปเพราะเดินในเส้นนี้ อันนี้ก็คือบทบาทหน้าที่ด้วย
เพราะตรงส่วนนี้มันคือหน้าที่โดยตรง หากจะให้ผู้เดินทางที่ไม่รู้ไม่ชำนาญไม่ใช่ทางนำทาง
ก็อาจเสียกาล ดีไม่ดีอาจไม่ปลอดภัยกับชีวิตด้วย เรามองเห็นภัยส่วนนั้นก็เตือนสติกัน
เราก็เดินนำไปบ้างเพื่อเว้นบางส่วนที่ไม่มันเยิ่นเย้อ
ไม่ได้มองว่าโยมไม่มีความรู้อะไรเลย แต่โดยประสบการณ์และบทบาทตรงนี้
มันคือหน้าที่โดย สงคมคาดหวังก็ต้องทำ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้หวังอะไร
หากแต่ทำอะไรก็ควรทำให้มันดีได้ทั้งประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพด้วย
ประสิทธิผลมันคือสำเร็จ แต่ประสิทธิภาพมันมองในเรื่องของความคุ้มค่า
ทั้งในส่วนที่ทำและระยะเวลาปฏิบัติการจริง ยิ่งใช้เวลาได้น้อยยิ่งดี
จะได้ใช้เวลาไปทำอย่างอื่น บางประเด็นจบได้เร็วมันก็ดี
บางความสงสัยเล็ก ๆ น้อยไม่สำคัญกำจัดเสียได้มันก็ดี
ตัดความอยากรู้อยากเห็นไปบ้างมันก็ดี อย่าสงสัยสะเปะสะปะ
เวลาชีวิตมันไม่ได้แน่นอนยืนยาว เห็นหน้าตอนเช้า รู้ข่าวว่าตายตอนสายก็มี
ถามว่ามันติดพันมากับศาสนาวัฒนธรรมไหม เราต้องจำแนกว่าบทบาทหรือป่าว
ความคาดหวังทางสังคมหรือป่าว ศาสนาหรือวัฒนธรรมอาจไม่ได้เป็นต้นเหตุก็ได้
เหมือนกันเรายังเด็กเราจะไม่ฟังครูสอนเหมือนเรียนปริญญาตรีขึ้นไปก็ได้
จะเรียนรู้เองก็ได้ แต่เริ่มแรกมันก็ยังต้องทำความเข้าใจพื้นฐานก่อน
จะไปตำหนิครูว่าทำไมครูต้องแสดงบทบาทสอน ก็หน้าที่ของเขาโดยตรง
เหมือนชื้อตู้เย็นเราอาจรู้วิธีใช้ แต่บริษัทก็ต้องมีคู่มือติดมาด้วยอยู่แแล้ว
เราจะอ่านหรือไม่อ่านก็เรื่องของเรา จะไม่ปฏิบัติตามก็เรื่องของเราแล้วทีนี้
หากเราใช้ไม่ถูกวิธี หรือทำพัง บริษัทเขาก็รับประกันตามเงื่อนไขนั่นละ
เรารู้ แต่เราไม่ใช่ผู้ชำนาญ ทั้งนี้เราอาจรู้มากกว่าพนักงานที่แนะนำเราก็ได้
แต่เราก็ไม่พึงแน่ใจว่าเรารู้มากกว่าเขา เราควรฟังก่อน
เพราะมันไม่ใช่ทางของเราโดยตรง จะขัดจะแย้งในใจก็เรื่องของเราอยู่แล้ว
มันไม่ผิดอะไร พนักงานอาจอธิบายผิด แต่คู่มือเขาก็มี
นักบวชอาจสอนผิดคัมภีร์ในศาสนาเขาก็มี แต่เราอ่านไปตีความก็ได้
เราอาจตีความหรือเข้าใจอีกอย่างจากนักบวชด้วยซ้ำ อันนี้ก็มี
ดังนั้นบทบาทหน้าที่ตามโครงสร้างทางสังคมมันก็มีอยู่
จะเกิดอะไรขึ้นหากพระอาทิตย์บอกว่าวันนี้ขอพักงาน
พระจันทร์บอกว่าขอพักด้วย เวลาก็ขอหยุดหมุนได้ไหม
นกบินไปกางอากาศแล้วบอกว่าขี้เกลียดบินแล้ว
มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอะไร ๆ ไม่ทำหน้าที่เหมือนที่ตนมีบทบาทอยู่
ส่วนนี้ที่หลวงพี่พยายามอยู่เสมอที่จะไม่ชี้ขาดคำพูด มันขึ้นกับประเด็นว่า
ควรชี้แนะเลยไหม หรือจะมัวแต่ตามปล่อยน้ำไปก่อน
แต่แน่นอนว่าน้ำผ่านหน้าบ้านก็ต้องจัดการบริหาร
แต่หากส่วนใหญ่โยมถามก็ออกลักษณะให้พระแสดงบทบาทนั้นอยู่แล้ว
แม้จะคาดหวังคำตอบว่าพระจะไม่แสดงออกแบบนั้น
แต่ตรงส่วนนี้ลึก ๆ ก็มี บางครั้งเราคุยกันตรงนี้อาจคิดว่าเราสองคน
แต่คนที่ดูเขาก็ดูกันอยู่ มันไม่เหมือนเรามาจับเข่าคุยกันโดยตรง
มันคือ Social network ที่สำคัญบันทึกหลักฐานไว้ได้
ตรงนี้มันคือประเด็นที่เราสนทนากันได้ จะให้สะเปะสะปะมากไปเหมือนฆราวาสทั่วไป
ก็ทำได้ โยมชอบแบบนั้นก็ได้ แต่ถามว่ามันจะมีประโยชน์มากกว่าไหม
ถ้าหากเราสามารถอธิบายให้โยมเข้าใจได้มากพอ จะให้พิมพ์สั้นก็ได้ แต่โยมจะเข้าใจไหมนั่น
เพราะหากต้องการปัญญาจากใคร เราจะมัวให้เขาโอ้เอ้อยู่มันก็ยังไงยังงั้น
หลวงพี่กับชอบฟังยาว ๆ มากกว่า แต่เมื่อเสียสละเวลามาตอบคำถามพวกนี้
จะบอกไม่ให้หลวงพี่ไม่แสดงบทบาทสอนก็ย่อมได้ เหมือนนั่งรถกับคนขับรถไม่เป็น
ไม่ให้เราผู้ขับเป็นที่รู้ทางมาขับ แต่ให้เราดูก็ได้ แต่ขอนั่งดูข้างนอก ไม่ขอนั่งด้วย
เพราะนั่งด้วยเกรงจะไม่ปลอดภัย และใช้เวลามากเกินจำเป็น ใครจะเอาชีวิตไปเสี่ยง
เรื่องการพูดคุยเรื่องความถูกผิดมันก็จริงว่าขึ้นกับว่าใครมีข้อมูลที่มีเหตุผล
แต่นั่นมันในทางวิชาการเขาก็วิเคราะห์แบบนั้น ตรงนี้เราไม่ได้เอาไปวิเคราะห์ทางวิชาการมาก
ตรงนี้คือสนทนาในหมวดปฏิบัติการ มันจึงเลยขั้นการวิเคราะห์แบบนั้นมาแล้ว
หากโยมพูดแบบนั้นก็เปรียบเหมือนโยมอยากย้อนไปที่กระบวนการกรั่นกรองตรวจสอบอีกรอบ
ซึ่งตรงนี้ไม่ผิดอะไร หากว่าเราจะย้อนแบบนั้นก็ย่อมได้ แต่ดูที่ชื่อจู๋นอล์นี้นิดหนึ่งครับ
เราสนทนากันผิดขั้นตอน กระบวนการตรวจสอบมันขึ้นกับวิจารณญาณของเรา
ฟัง ๆ ไปก่อน หากโยมอยากได้คำตอบ โยมก็ค้นหาคำตอบได้อยู่แล้ว เพราะทุกศาสนามีคัมภีร์
หากมาถามที่ความคิดของคนในศาสนาย่อมเห็นต่างบ้าง ผิดเพี้ยนไปบ้าง ก็แค่ความคิดคน
ตรงส่วนนี้ก็เพราะว่าสติปัญญาในการมองรายละเอียดของเรามันต่างกัน
คำพูดเดียวกัน เราอ่านแล้วได้อารมณ์ต่างกัน ได้ข้อคิดต่างกันไปก็มี
เพราะยังไงประสบการณ์เรามันได้รับการขัดเกลาทางจิตสังคมมาต่างกันอยู่แล้ว
แน่นอนคนในศาสนาใดก็ย่อมมีคำตอบของตนชัดเจน ข้อนี้โยมก็รู้
เราอ่านคัมภีร์หรือแม้แต่เนื้อหาเดียวกันบางครั้งก็ตีความต่างกันได้
ดังนั้นหากมุ่งที่ความคิดคนมันไม่มีจุดยืนแน่นอนตายตัว
เราหมุนไปตามลมปากหรือความคิดคนหรือป่าว อันนี้น่่าคิด
เพราะเหตุผลเชิงตรรกะมันก็ครอบงำความคิดเราอยู่
ครั้นเราจะบอกว่าไม่มีอคติกับเรื่องนั้น ๆ แน่นอนเราละไม่ได้อยู่แล้ว
คำสอนในศาสนาทุกศาสนาไม่มองหาว่าศาสดาตนสอนนั้นผิดหรอกครับ
ดังนั้นคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นผิดได้ไหม มีที่สอนผิดได้ไหม อันนี้คิดได้
แต่พระไม่ค้นหาส่วนนั้นกัน เพราะเอาแต่สงสัยมองหาจุดผิดเราก็ไม่ได้กระทำพอดี
หาความสมบูรณ์ทั้งหมดแบบไม่ให้ใครตำหนิได้นั้นยากครับ
เรามุ่งเอาสาระที่เราจะทำประโยชน์
หากเปรียบศาสนาเหมือนรถบริการให้กับบุคคลต่าง ๆ ในสังคม
เป้าหมายปลายทางที่เราเลือก ก็ต้องเลือกเอากันเองครับ
หากเราจะขึ้นเหนือ แต่ไปตำหนิหรือขึ้นสายที่จะพาไปลงใต้
อันนี้มันก็ขัดครับ เราต้องเลือกให้เหมาะกับเป้าหมาย
ไม่ใช่ให้รถที่มาบริการปรับตามใจชอบของเรา จริงไหม....?
หากเปรียบคำสอนทางพุทธศาสนาเหมือนเรือ ที่ใช้ขี่ข้ามฝั่งน้ำคือความทุกข์
เรามัวแต่สงสัยว่าเรือที่สร้างนี่ตอกตระปูผิดรูปแบบหรือป่าว
แต่ละวัตถุมันผลิตมาถูกกระบวนการไหม ทำเรือถูกรูปแบบไหม
แบบนี้เราก็ไม่ต้องไปกันพอดีสิครับ ชีวิตมันไม่ได้ยาวนานอะไรนัก
มัวแต่สงสัยนั่งวิเคราะห์ไม่ได้ปฏิบัติมันก็จะเสียกาล
เราไม่ใช้ก็ไม่ขัด คนอื่นเขาจะใช้ประโยชน์ หากติดในโลกแห่งความสงสัยไม่สิ้น
เราก็อยู่แต่ในโลกของความคิด ส่วนมากโลกแห่งความคิดก็ไม่พ้นตรรกะวิธี
ความจริงข้อนี้พิสูจน์ได้ด้วยตัวโยมเอง ลองนั่งคิดแบบตรรกะในเรื่องใดหนึ่งสิ
รับรองทั้งชีวิตมีคำตอบให้ไม่สิ้น ทั้งนี้หลวงพี่ก็เคยลองทำ
เหมือนกันเราจะใช้สะบู่ก้อนหนึ่งเราจะต้องค้นหาความบกพร่องของมันว่า
มีส่วนผสมที่ลงตัวไหม มีองค์ประกอบสมบูรณ์หรือไม่
ตรงส่วนนี้ไม่ใช่หน้าที่เรา เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตคิดค้นแรก
เรามาใช้ให้เกิดประโยชน์จะดีกว่า ไม่อยากใช้ยี่ห้อนี้ก็ไม่ต้องใช้ครับ
อยากพิสูจน์เราก็พิสูจน์ด้วยตนเองครับ ไปมัวถามคนอื่นทำไมกัน
เหมือนคำว่า "อิ่ม" จะให้หลวงพี่อธิบายให้ฟังก็ได้
แต่โยมจะรู้ไหมนั่นว่า "อิ่ม" ของหลวงพี่กับโยมมันคนละความรู้สึกกัน
ถ้าโยมไม่เคยทำโยมก็จินตนาการในโลกของความคิดอยู่อย่างนั้น
ทางที่ดีกินดูสิครับ จะได้รู้ว่า "อิ่ม" มันเป็นยังไง
เราจะพิสูจน์อย่างให้เกียรติแนวความคิดหรือศาสตร์ใดก็ตาม
อย่าลืมว่าเรามันภูมิเดียวกับเจ้าของความคิดหรือศาสตร์นั้นไหม
หากอยู่คนละภูมิกันเห็นจะเกิดข้อผิดพลาดในการสรุปความ
บางทีเผลอไปตำหนิวิจารณ์ อันนี้มันก็เป็นวจีกรรมไปแค่นั้น
การมองคนละมุม ยืนคนละระดับ ใส่แว่นคนละสีพวกนี้
เราจะรับรู้ได้แตกต่างกันครับ ระวังความคิดไว้
(ประโยคนี้ไม่มุ่งสอน แต่มุ่งเตือนสติกัน เพื่อป้องกันและรักษากันไม่ให้พลาด)
ลงมือทำเลยจะได้รู้ว่ามันถูกผิดบกพร่องตรงไหน
ตรงส่วนนี้เคยสนทนากันแล้ว โยมอย่าสับสนละกันว่า
วิถีพุทธส่วนมากเน้นสอนที่พระมากกว่าชีวิตแบบฆราวาส
เราใช้มีดมาตัดต้นไม้มันก็ไม่มีประสิทธิภาพ มีดเอาไว้หั่นอาหารเป็นส่วนมาก
หากใช้เลื่อย หรือขวานมาตัดมันก็จะดีมีประสิทธิภาพมากกว่า
ดังนั้นหากใช้มีดมาตัดจึงอย่าหวังมาก เพราะเราใช้ของผิดวิธี
แล้วจะไปคาดหวังประสิทธิภาพมันก็ยากละครับ
เพราะฉะนั้น ธรรมะสำหรับพระก็จะถูกสอนอีกแบบ ต่อโยมก็จัดให้อีกแบบตามเป้าหมายชีวิต
หากโยมจะไปตีความสะเปะสะปะมันก็เขวกัน ครั้นมาวิจารณ์มันก็สร้างวจีกรรม
โยมเก้อถามพระยิ้ม พระยิ้มก็ตอบให้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่ตอบทั้งหมด
หากพอจะให้มาวิจารณ์ความคิดใครนั้นหลวงพี่ว่า
มันไม่กระทบแค่บุคคล หากมีคนในศาสนาอื่นอาจจะมองว่า
พระในพุทธศาสนาไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ไม่มีกฎเกณฑ์หลักการอะไร
ที่สำคัญนอกจากตำหนิสถาบันแล้วเล่นประเทศเลยก็มี
เราจึงต้องระวังในการแสดงความคิดให้กับสังคม
เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวคำว่า "ถ้าไม่ยกยอก็อย่าย่ำยี ไม่ปราณีก็อย่าระราน"
รู้ว่าโยมเก้อจำแนกว่านี่คือความคิดพระยิ้ม แต่คนที่เขาไม่ชอบเราก็อาจมี
เราจึงไม่คิดว่าคนอื่นจะชอบเราหมด อารมณ์มนุษย์ชอบก็ยกยอ
ไม่ชอบนิ่งไว้ก็มี หรือรุกรานไปถึงอาฆาตก็มี บางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นจุดอ่อนบางเรื่องมันมี เราก็ต้องระวัง
โดยส่วนตัวจึงไม่หวังว่าจะให้ใครต้องกราบ ต้องไหว้ ไม่อยากไหว้ก็ไม่ต้องไหว้ครับ
แม้พระพุทธองค์ก็เคยมีให้รู้อยู่ เพราะวิถีฆราวาสมันก็ต่่างกับพระอยู่แล้ว
หากเขาคิดว่่าเรายังไม่มีคุณค่าหรือคุณสมบัติพอที่เขาจะกราบไหว้ได้ ก็ไม่ต้อง
ตรงส่วนนี้ยืนหยัดในใจมาตลอดตั้งแต่เป็นเณร จึงไม่คาดหวังอยู่แล้ว
เป้าหมายการบวชนี้ไม่ใช่เพื่อให้ใครมากราบมาไหว้หรือถวายสักการะอะไร
สิ่งเหล่านี้แค่เปลือกนอกของพุทธศาสนา หาใช่สาระเป้าหมายแท้จริงไม่
เพียงแต่ตรงส่วนนี้สังคมคาดหวัง ไม่ใช่หลวงพี่แน่นอน พระรูปอื่นอาจเป็น
แต่ทั้งนี้ก็เพราะแนวความคิดมันต่างกัน ขึ้นกับใครจะมุ่งเป้าหมายการบวชเพื่ออะไร
ตรงนี้ไม่อยากแตะมาก ตัวอย่างเช่นโยมอยู่ในพิธีทุกคนกราบกันหมด
โยมไม่อยากกราบหลวงพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พระบวชใหม่เขาไม่รู้ก็อาจกล่าวว่า
แต่แน่นอนภาวะกดดันทางสังคมมันมี หากโยมไม่กราบก็เกรงใจสายตามหาชน
ทั้งนี้ก็โยมเองนั่นแหละที่อยากดูดีในสายตาคนอื่นเอง หลวงพี่ไม่หวังอะไรจากใคร
ศาสนากลายเป็นเหยื่อทางสังคมก็มีครับ มันแตกต่างที่เป้าหมายของเรา
เป้าหมายของการบวชหลวงพี่นี้ไม่ใช่เพื่อให้ใครมากราบไหว้หรือให้สิ่งของอะไร
และตรงส่วนนี้ยังอยู่ในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมสู่ความเป็นพระอยู่
จึงยังต้องเรียน ซึ่งบ้านเรายังไม่มีระบบการจัดการศึกษาที่ดีและมุ่งตรงอย่างมีหลักการ
ส่วนมากเมื่อบวชก็แล้วแต่ใครอยากทำอะไรมากกว่า
มันก็ถูกที่มหาสรพศจะกล่าวว่าภาวะผู้นำของพระเถระทางบ้านเราไม่ถึง
แต่อย่าเอาเกณฑ์ทางสังคมหนึ่งมาวัฒนธรรมหนึ่งศาสนาหนึ่งที่เราเห็นว่า
มันแตกต่างกันชัดเจนในวิถีการปฏิบัติมาเปรียบเทียบกัน
ศาสนาที่พอจะเอาเปรียบเทียบกันได้แบบใกล้เคียงกันมากกว่านี้ก็มี
แต่บ้านเรามันก็พัฒนามาอีกแบบอยู่ดี
ดังนั้นส่วนตัวคิดไม่เหมือนพระที่โยมรู้จักอยู่แล้ว
เพราะอุดมการณ์และปณิธานของชีวิตเราต่างกัน
ยิ่งพระแถบนี้คิดห่างกันไกล แค่นี้ชีวิตก็ลำบากอยู่แล้ว
อย่าให้หลวงพี่คิดและรับผิดชอบชีวิตได้ลำบากมากกว่านี้เลย
ระบบการศึกษา ระบบการปกครอง รูปแบบวิธีการสอน การคิด
หรือแม้แต่โครงสร้างพระ อันนี้เหนื่อยใจสุดแล้ว
ตรงนี้(ชอบใช้คำนี้แทนตัวเองมาก)ขอรับผิดชอบตนเองก่อน
เพราะไม่มีใครจัดการเป็นแนวทางให้ กว่าจะรู้ว่าเขวจากเป้าหมายก็ช้าไปหน่อย
ช่วงเวลานี้เหมือนพักสนทนาระหว่างทางเดินสู่เป้าหมายกับคนระหว่างทาง
ทั้งที่จริงพระควรจัดการระบบการศึกษาได้มากกว่านี้
แม้สำนักปฏิบัติก็กระจายไป แต่มองไม่เห็นระบบการจัดการที่ดี
เอาล่ะไม่พูดมากมันเสี่ยงมากเกินไป
ยังไงหากมองการกราบไหว้ในสายตาคนทั่วไปก็อาจคิดแบบโยมเก้อได้
แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของพระในพุทธศาสนาแน่นอน
ตรงนี้หากพิจารณาจริงมันก็มาจากกระบวนการ Socialization ด้วย
เกิดเป็นชาวพุทธต้องทำงี้ ๆ สังคมมันถ่ายทอดกันมาแบบนั้นเอง
บางครั้งผิดขัดกับคำสอนก็มี เราถูกขัดเกลาทางจิตสังคมแบบนี้กัน
ก็ตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าทำไมต้องทำ แต่สังคมเห็นว่าดีงามเราก็ทำ
ไปขัดกับสังคมมันก็ยากหน่อย บางครั้งเราก็ต้องยอมทำตามบ้าง
การกราบไหว้เป็นก็แต่เพียงสัญญะเบื้องต้นไม่ใช่ทั้งหมด มันไม่ใช่อุปสรรค
มันเป็นแค่ Symbolic Interaction ทางสังคม ที่ไม่ใช่แค่ในมุมของศาสนา
ซึ่งผู้คนส่วนมากในสังคมบ้านเราเห็นว่าดีงามที่เราจะกระทำหรือปฏิบัติต่อกัน
แต่หากมองด้านพุทธศาสนาแล้ว มีการจำแนกแยกแยะด้วยเช่นกัน
ท่านกล่าวว่าการบูชาผู้ควรบูชา กราบไหว้ผู้ควรกราบไหวเป็นมงคล
หมายถึงดีที่สุด ไม่ใช่ไหว้สะเปะสะปะไปทั่วเหมือนที่เราเห็นในบ้านเมืองเรา
เราไม่เคารพไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องไหว้ พูดไม่เป็นธรรมก็ไม่ควรไหว้
ทั้งนี้การไหว้ก็มีการจำแนกด้วยว่าไหว้ในเหตุผลใด
ส่วนมากไหว้เพราะเห็นว่าอายุมากกว่าเราแสดงถึงให้เกียรติตามเหมาะสม
เรียกว่า มีวัยวุฒิ หรือไหว้เพราะเห็นว่ามีบุญคุณแก่ผู้อื่น เรียกว่า มีคุณวุฒิ
ไม่ใช่ไหว้ไปแบบมั่ว ๆ มีการจำแนกแยกแยะปฏิบัติไม่สะเปะสะปะกราบไหว้
เหมือนที่โยมเก้อเห็นในสังคมปัจจุบัน แต่หากอยากทำใครจะห้ามได้
ถามเราสอนให้คนอ่อนน้อมเลยกลายเป็นทำให้คนไม่มีภาวะผู้นำไหม
ตอบว่าไม่ใช่ครับ ยิ่งสูงส่งแต่นอบน้อมยิ่งได้รับการยกย่องทางสังคม
บางคนไม่เก่งอะไร แต่นอบน้อมไปเจริญก้าวหน้าในสังคมก็มี
แต่มันก็อยู่ไม่ได้นานถ้าไม่มีความรู้ ที่สำคัญถ้าไม่ดีก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
เราสอนให้คนกล้าแสดงออกไม่ให้เกลียด แต่กล้าแสดงออกในสิ่งที่ดีอย่างเหมาะสม
ไม่ใช่จะสอนให้เก่งกล้าแต่ยิ่งยโสโอหังมมังการ
แต่คนไม่ถือปฏิบัติจะมาตำหนิศาสนาก็จะควรไหม
พุทธศาสนาจึงไม่มุ่งคาดคั้นให้โยมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
แต่หากอยากทำ มาถามเรา เราก็ให้สติโยมว่าให้ทำในสิ่งที่ควรทำ
ทีนี้สิ่งควรทำมีอะไรบ้างก็ว่ากล่าวเตือนสติกันไป ไม่ใช่ให้มาติดอยู่ที่ตัวบุคคล
เราไม่ได้หวังให้มาติดเรา หรือไม่หวังลาภสักการะสิ่งมีค่าจากสังคม
อย่างศีลห้านี่ก็ชาวพุทธเองมาถาม มาขอศีล ไม่ใช่พระจะไปบังคับ
แต่ีคนพุทธเองนั่นละเห็นประโยชน์จากการเตือนสติของเรา
ทีนี้โยมก็อยากมีข้อปฏิบัติบ้าง เพื่อให้ตนมั่นใจว่าตนปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา
พระก็จึงว่ากล่าวให้สติแก่สังคม ไม่ใช่อยู่ดี ๆ พระจะจับไมค์ขึ้นเวทีไปพูด
อันนั้นไม่ใช่วิถีพระแล้ว อยู่ดี ๆ จะมาโพสต์พูดกล่าวนั่นนี่
ทุกการกระทำของผู้มีสติและปรารถนาดีต่อสังคมก็ต้องเหตุสมผล
อย่างหลวงพี่ก็ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะมาโพสต์ข้อความพวกนี้
เคยปฏิเสธโยมร่มไทรกับโยมแอนไว้ก่อนหน้าแล้ว
แต่เมื่อมีโยมคนอื่นกล่าวถึงบ้างก็จึงโพสต์ไว้ให้
ทั้งนี้ความอยากดัง หรืออะไรนั่นไม่ใช่ประเด็นเลย
เพราะไม่ต้องการอยู่แล้ว แต่เราคิดว่าหากเรามีประโยชน์
หรือให้ข้อคิด ให้สติแก่บุคคลในสังคมได้บ้าง
เห็นเป็นสิ่งควรทำก็จึงทำ ทั้งนี้ก็ไม่ได้แน่ใจอะไรกับข้อนี้นัก
แต่บทบาทที่มีอยู่ก็ชัดเจน ไม่ชอบทำให้ตนเองเหนื่อยอยู่แล้ว
โดยธรรมชาติเราก็อยากทำอะไรง่าย ๆ มีความสุข
เพราะบางทีเราจมดิ่งกับความสุขมากเกินไปก็อาจพลั้งต่อประโยชน์
อันนี้ก็เตือน ๆ สติกันไว้ เหมือนนั่งฟังเพลงเพลิน ๆ
ข้าศึกมาก็จะมานั่งฟังเพลงอยู่อันนี้ก็ไม่เหมาะ
พุทธศาสนาเปรียบคนในการสอนไว้เหมือนบัวสี่เหล่า
ถามว่าพระพุทธเจ้าต้องไปโปรดหมดไหม ตอบว่าไม่
ถ้าพิจารณาดูจะเห็นได้ว่าจะทรงสอนเฉพาะส่องเหล่าบน
นอกนั้นไม่มุ่งเน้นอะไรนัก เพราะเขาไม่พร้อม
กิจอันไหนดี เหมาะสมกับวาระเราก็ลงมือทำ
กิจอันไหนดี ไม่เหมาะสมกับวาระก็เว้นก่อน
กิจอันไหนไม่ดี เหมาะสมกับวาระเราก็ไม่ทำ
กิจอันไหนไม่ดี ไม่เหมาะสมกับวาระเราก็ยิ่งไม่ทำเลย
เผลอตอบยาวลืมมองนาฬีโมง
ดึกไปล่ะ โพสต์ตอนเช้าละกัน...
ว่าจะโพสต์เช้า ไง wi. ไม่มาซะงั้น