อึม...ที่จริงตั้งใจการตอบคำถามของนานานั้นตั้งใจให้ออกแนวนั้น
เพราะไม่อยากให้คนยึดคำตอบเราว่าเราฟันธงแปะว่าจริงไม่จริงทีเดียวเลย
พอบางครั้งการใช้วิธีการตีความคนอื่นมันแปลได้หลายนัย
เพราะมันต้องอาศัยมุมมองความคิดของเจ้าของแนวคิดด้วย
นานาเขาแค่เอามาถามต่อ จึงไม่ฟันธง
คำถามชัดเจนมากแค่ไหนหลวงพี่ก็ตอบตามนั้นละครับ
อย่างการสนทนากับโยมเก้อร์ก่อนนั้นก็เหมือนกัน
ถ้าหลวงพี่มองว่ายังไม่รู้แนวคิดภาพกว้างที่ชัดเจนในประเด็นนั้น
หลวงพี่ก็ตอบตามประเด็นเป็นไปตาม Step ก่อน
เพื่อถ่วงเวลาให้โยมได้แสดงความคิดเห็นออกมากกว่านี้
การแสดงทีท่าทางคำพูดก็เพื่อให้เขาได้เจาะลึกลงไปอีก
หลวงพี่จะได้รู้จักความคิดเขาในประเด็นนั้นให้มากขึ้น
ครั้นรู้ว่าเขาคิดเห็นอย่างไรมากขึ้นก็ตอบให้กว้างได้มากขึ้นไปอีก
เราจะให้คนรู้ความจริงในเรื่องใดก็ต้องให้บรรลุความจริงในประเด็นนั้นพร้อมกัน
หากฝ่ายผู้ถามสงวนท่าที ฝ่ายผู้ตอบก็ต้องสงวนท่าทีบ้าง
อยากนักมวยน่ะครับ บางครั้งยกแรกมันก็ต้องดูเชิงมวยกันก่อน ยกสองมันก็แย๊บ ๆ กันบ้างหากคู่ต่อสู้ไม่ยอมแย๊บมาก่อน
แต่หากพร้อมจะพูดกันให้เคลียร์ได้ เราก็พร้อมที่จะพูดให้เคลียร์ได้ในประเด็นนั้นเช่นกัน
ฉะนั้นหากให้ได้คำตอบอย่างเรื่องของนานา เขาควรต้องมาถามกลับอีกครั้ง
และพูดให้เคลียร์ครับ ว่าโลกที่เขาหมายถึงหมายถึงโลกที่กินความกว้างเพียงใด
แสดงแนวความคิดไว้ให้เรารู้กว้างกว่านี้ว่าเขามองแบบไหนก่อน
ลองกลับไปอ่านคำถามดูสิครับ ลักษณะเขาสงวนท่าทีในการถาม
เราก็จึงสงวนท่าทีในการตอบ
หากโยมมองในภาพกว้างโยมก็จะรู้ว่าหลวงพี่ตอบว่ายังไงได้ เพียงแต่ต้องแบ่งรับแบ่งสู้
ตอบแบบฟันธง โดยไม่ฟังให้ได้ความ เดี๋ยวเจ็บตัวฟรีครับ
แล้วคำตอบเรามันไม่สากลแน่นอน จะมองมุมไหนแบบไหนก็ได้หากมันไม่ชัด
แต่ถ้า Focus คำถามให้ชัดเจนมากกว่านี้ มันก็ได้คำตอบชัดตามนั้น
คำตอบในคำถามของนานานั้นหลวงพี่กล่าวเตือนสติ ให้จำแนกความคิดก่อนไม่ใช่หรอ
คือเขาเอาความเจริญทางองค์ความรู้หรือวัตถุ เทคโนโลยี มาเปรียบเทียบกับความเจริญทางจริยธรรม
คำตอบมันชัดอยู่แล้วว่ามันดูเหมือนจริง เพียงแต่การมองของเขามันผิดที่เขาไปยึดวัตถุมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน
เพราะอะไร ก็เพราะว่า เราพัฒนาองค์ความรู้ทางโลกมากกว่าอยู่แล้ว เราให้ความสนใจทางโลกมากกว่าอยู่แล้ว
ครั้นเราไปเปรียบเทียบเจริญระหว่างสิ่งที่พัฒนากับสิ่งที่ไม่พัฒนา มันก็ย่อมแน่อยู่แล้วว่ามันต่างกัน
แต่ถามว่ามันเสื่อมจริงไหม มันก็ไม่ได้เสื่อมเพียงแต่มันไม่ขยับ มันไม่ได้รับการพัฒนา
มันก็เลยดูเหมือนเสื่อมถอยเพราะความห่างไกลของศาสตร์ที่พัฒนามันทำให้ทิ้งช่วงห่างออกไป แต่ที่จริงแล้วมันอยู่ที่เดิม
ดังนั้นศาสตร์ที่พัฒนาแล้วก็เดินห่างไกลจากศาสตร์ที่ไม่ได้รับการพัฒนา
ยิ่งทิ้งห่างก็ยิ่งดูว่าอีกฝ่ายถอยหลังเสื่อมไป ทั้งที่มันอยู่ที่เดิม จุดเดิมไม่ขยับไปไหน ไม่พัฒนาขึ้นมา
หากเปรียบแบบนี้แสดงว่าเรามองจากจุดของศาสตร์ที่พัฒนามาแล้ว
แต่ถ้าเราไปมองจากจุดของที่อยู่ที่เดิมจะเห็นได้ว่า ศาสตร์ที่พัฒนานั้นละที่ทิ้งห่างศาสตร์ที่ไม่ได้พัฒนาไปเอง
คำตอบมันคือมันอยู่ที่เดิม แต่เรามองแบบนี้มันเป็นรูปธรรม
แล้วลักษณะคำถามมันดันออกเป็นนามธรรม คำตอบมันจึงออกแนวกวน ๆ นิดหนึ่ง
(หรือว่ากวนมากก็ไม่รู้นะ ไม่ได้ย้อนไปอ่าน
)
แต่โยมชอบให้หลวงพี่เป็นคนตัดสินแบบฟันธงแปะ ๆ
ท้ายที่สุดคนพังคือหลวงพี่ โยมต้องรักษาหลวงพี่ด้วย
ครั้นหลวงพี่มองเห็นจุดอ่อนในเรื่องการตอบประเด็นนี้
หลวงพี่ก็ไม่อยากตอบ หรือก็ตอบแบบเลี่ยง ๆ หรือแบ่งรับแบ่งสู้
ตัวอย่างมันมีเยอะครับ หลวงพี่ก็จึงควรระวังตนไว้ก่อน
อย่างประเด็นโยมเก้อถามก็เหมือนกัน
คำถามมันดีมีประโยชน์เกิดคุณค่า มีความหมายอยู่มากในทางวิชาการ
แต่มันมีความเป็นไปได้ที่จะทำลายหลวงพี่คนที่ตอบได้
เพราะบ้านเมืองเรายังไม่พร้อมในประเด็นนี้ หรือ
จะด้วยเหตุผล มุมมองหลักการหรือกรอบแนวคิดอะไรก็ตาม
ความน่าเชื่อถือของผู้ตอบก็มีส่วนด้วย
การตอบคำถามโยมจึงไม่ควรดูที่ผลของคำตอบเพียงประการเดียว
โยมควรดูที่กระบวนการตอบด้วย
ต้องดูว่า กระบวนการคำตอบมันจบสมบูรณ์แล้วหรือยัง
โยมอาจอยากรู้หตุผลก็ได้ว่าทำไมหลวงพี่ถึงเลือกตอบแบบนั้นก็ได้
ถ้าเรามองทั้งกระบวนการตอบและผลของคำตอบ เราก็จะมองไม่พลาด
เพราะสองส่วนนี้สำคัญและสัมพันธ์กันมาก
เหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ที่เราให้เด็กตอบนั่นละ
ถ้าผลของคำตอบมันถูก แต่กระบวนการทำผิด จะได้คะแนนไหม
หรือถ้ากระบวนการตอบถูกวิธี แต่ผลคำตอบมันออกมาผิด จะได้คะแนนไหมครับ
ดังนั้นเราเป็นผู้ใหญ่ก็จะดูจะตรวจสอบทั้งสองส่วนไม่มองอะไรแค่ส่วนเดียว
บางสิ่งมองส่วนเดียวได้หากมุ่งเอาประโยชน์ แต่มันปฏิเสธอีกส่วนน่ะ
โอกาสผิดพลาดมันก็มีเยอะครับ
บางคำตอบหากเรามองในกรอบเบ็ดเสร็จเราอาจเข้าใจเจตนาผิดพลาดได้
เรื่องนี้มีตัวอย่างอยู่ หากอยากรู้วันหลังหลวงพี่เล่าให้ฟังอีกครั้งก็ได้ อยากฟังก็บอกละกัน
อ้าวต้องพะยักหน้าตอบรับสิ เอ่อ...
โยมเก้อจะถามในประเด็นที่เป็นมิติทางสังคมก็ได้ แต่ควรจัดลำดับยากง่าย
เราต้องช่วยอำนวยประโยชน์เผื่อคนที่เดินตามเราด้วย
แต่ที่หลวงพี่ห้ามไว้ก่อนนั้นเพราะเห็นว่าผู้ตามเราไม่พร้อม
เขาตามเราไม่ทันในประเด็นที่เราถนัดและฝ่ายการเรียนรู้มาด้านที่เราสนใจ
คำตอบในพุทธศาสนาที่ช่วยสังคมก็มีอยู่ แต่เป็นการจัดให้ในระดับลดลงไป
ตามลักษณะวิถีชีวิตโยม เพราะอย่างที่เคยคุยกัน
วิถีสูงสุดของพระคือมุ่งบรรลุอรหันต์ แต่วิถีโยมแค่อยากให้ใช้ชีวิตมีโดยง่าย
และมีความสุขได้ในสังคม โดยเรานับถือศาสนาไหนก็ตาม
เราก็อยากให้ชีวิตเราไม่ผิดขัดกับหลักศาสนาของเรา และ
เราก็อาจใช้คำสอนในศาสนามาเอื้อเฟื้อต่อวิถีชีวิตทางสังคมได้
การจัดหลักธรรมสำหรับฆราวาสจึงไม่ได้ใช้ในระดับเดียวกับพระ
มีการจำแนกแยกแยะอยู่ อย่าตีความผิดละกันครับ
เพราะหัวข้อเดียวกันแต่บางคนก็เอาของพระไปอธิบายให้ใช้กับโยม
ในขณะบางครั้งก็เอาของโยมมาอธิบายใช้กับพระ มันจึงผิดเจตนาหลักของหลักธรรมครับ
สำหรับประเด็นที่หลวงพี่วิจารณาโยมก็รับรู้ได้อยู่แล้วว่าหลวงพี่วิจารณาแต่เพียงประเด็นเดียวนั้น
ไม่ได้เหมารวมว่าทั้งหมดจะเป็นไปตามนั้นเห็นแค่ไหนก็แสดงความความคิดเห็นตามนั้น
ตรงนี้จึงไม่ใช้คำว่าวิจารณ์ ให้รู้ว่าเป็นแต่เพียงแสดงความความคิดเห็น
หากโยมที่รับรู้มาแน่แท้ก็สามารถแสดงความคิดเห็นชี้แจงต่อกันได้ หลวงพี่ไม่ได้ว่าอะไร
ไม่ได้ยึดแนวคิดตนเป็นหลัก หากแต่แสดงให้รับรู้ตามที่รับรู้
โยมเข้าใจมามากโยมก็ชี้แจงแสดงได้ เราจะได้เข้าใจศาสนาอื่นด้วยว่าเขามีดีอะไรคนจึงนับถืออย่างนั้น
หรือหากคนในศาสนาเขาจะมาชี้แจงให้ฟังมันก็ดีเกิดประโยชน์ เพราะนี่คือความสงสัยของเราต่อศาสนาอื่น
ในขณะเดียวกันหากเขาสงสัยในคำสอนของศาสนาเรา เขาก็มาถามเราได้ เราไม่จำกัดอยู่แล้ว
ยินดีชี้แจงเพื่อให้เข้าใจกันได้ จะได้ไม่ก้าวก่ายกัน เพราะทุกวันนี้ก็โดนก้าวก่ายอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ถือสาอะไร
เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านหลวงพี่ หลวงพี่จะแสดงออกมากมันก็ยังไม่ควร
แต่หากเป็นบ้านเกิดหลวงพี่เอง หลวงพี่ย่อมกระทำได้มากกว่านี้
แล้วคำตอบบางประเด็นก็อาจให้รายละเอียดอย่างสบายใจได้มากกว่านี้
ตรงนี้ก็ยังต้องปฏิบัติอยู่ในอำนาจของสงฆ์และกฎหมายบ้านเมืองของโยมอยู่
จะให้ทำเหมือนบ้านตนเองทั้งหมดก็ไม่ได้ ทำได้แต่เพียงบทบาทเบื้องต้นเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างการเข้ามาเว็บนี้ที่จริงหากแค่ต้องการทำฟอนต์แค่แวะมาศึกษาก็ได้
ไม่ต้องถึงมาสมัครเป็นสมาชิกเพื่อเอาตนมาเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดก็ทำได้
แต่คิดว่ายังไงเจตนาเราดีอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ชี้แจงไปให้เข้าใจกันก็คงพอ
แต่คำว่าพอของเรามันไม่เท่ากัน เพราะสติปัญญา การรับรู้และประสบการณ์ หรืออะไรก็ช่าง
ของเราแต่ละคนนั้นบางครั้งไม่เหมือนกัน ที่ว่าเหมือนก็ไม่ทั้งหมดทีเดียว มันก็จึงต้องอธิบายกันยาวแบบนี้
มันก็ดีที่มีคนแนะนำ ให้คนอื่นอ่าน แต่หากมหาสุรพศเขาได้รับการขัดเกลาทางจิตสังคมมาไม่ต่างกัน
เขาก็คงเห็นด้วย หากมันขัดกับเขาก็คงเกิดความเข้าใจผิด ที่จริงแล้วตรงนั้นหลวงพี่มองว่าไม่น่าห่วงอะไร
แต่ที่น่าห่วงคือเข้าใจไม่ตรงกันแล้วเราไม่ได้อธิบายให้เข้าใจตรงกันได้ อันนี้แอบคิดลึก ๆ
ใครจะมาเข้าใจความคิดเราได้ทั้งหมดก็หามีไม่
ฉะนั้นจึงอยากให้ถนอมหลวงพี่บ้างหากต้องการพึ่งระดับสติปัญญาให้หลวงพี่ตอบคำถามให้
เพราะเรามีเจตนาดีต่อกัน ในพุทธศาสนานั้นเรากล่าวว่า
"กัลยาณมิตรคือเพื่อนที่ดีและสร้างคุณค่าให้เกิดประโยชน์แก่กัน แต่ที่สำคัญนั้นคือ
เราสามารถรักษาและป้องกันภัยให้กันได้"
เจริญพร.