โอ้ เยี่ยมเลย เฝ้ารอสิ่งนี้มานาน
ผมเป็นคนที่หลวงพี่พูดถึงครับ เป็นคนไม่มีศาสนา
เป็นมานานแล้ว นับๆดูก็เกือบๆจะสิบปีที่มีความคิดแบบนี้
ทุกคนที่รู้จักก็รู้ดี โดยเฉพาะที่นี่
อันนี้นี่รวมถึงในทะเบียนบ้าน ในบัตรประชาชนด้วยนะครับ ระบุเลยว่าไม่นับถือศาสนาใด
บัตรประชาชนแบบเมื่อก่อนจะมีระบุศาสนา ก็จะขีดละ (แบบนี้ : ศาสนา - )
แต่บัตรประชาชนเดี๋ยวนี้ไม่มีช่องนี้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีเหตุผลอยู่
ผมเดาเอาว่ามันคือทิศทางทั่วไปของรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่
เพราะเราเป็นรัฐฆราวาสที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐศาสนา
ที่จะเอาศาสนามาผูกโยงกับการจัดระเบียบใดๆของรัฐ
เอาให้ชัดๆคือ ทิศทางของรัฐที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย
จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกันคือ ไปในกรอบความคิดที่ว่า "ศาสนาคือรสนิยมส่วนบุคคล"
ซึ่งหากจะพูดถึงแบคกราวด์ทางความคิด ว่าเกิดมาอยู่เมืองนอก มีประสบการณ์ทางสังคมความคิดแบบฝรั่งหรือไร
อันนี้ถึงแม้ว่าจะเคยไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก แต่ก็เกี่ยวกันน้อยมากครับ
เพราะโตมาครอบครัวที่มีปู่เป็นเจ้าอาวาส บ้านข้างวัดอยู่กับวัดนี่แหละ
ในหมู่บ้านเล็กๆที่มีบรรยากาศพุทธแบบชาวบ้านออริจินอลสุดๆ
รวมถึงตั้งแต่เด็ก ก็ศึกษาธรรมะสายหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ไปบ่อยมากๆ
(บ้านอยู่แถวนั้น) ฝึกสมาธิมาค่อนข้างเคร่งครัด ผ่านวัดหนองป่าพงนี่แหละ
รวมถึงโตมาหลายๆช่วงก็อาศัยอยู่กับครอบครัวมุสลิม ละหมาดเป็น เข้ามัสยิดได้
แต่โดยสรุปรวมแล้ว ก็ทำให้เห็นว่าบทบาทของศาสนาต่อสังคมนั้นคืออะไรบ้าง
และเราควรวางบทบาทของเราต่อศาสนายังไง รวมถึงมีมุมมองต่อศาสนาในสถานะสถาบันยังไง
(หมายถึงตัว สถาบัน-Establishment เลยนะครับ ไม่ใช่อภิธรรม) สุดท้ายจึงเห็นกระจ่างว่า
ศาสนาคือรสนิยม และไม่นับถือศาสนาใด เลือกเอามาใช้ได้จากทุกอย่าง
แต่แน่นอนว่า แนวคิดนี้ผิดในทุกศาสนา คือมิจฉาทิฏฐิในพุทธ
ส่วนพุทธและคนไม่มีศาสนา ก็เป็นกาเฟร(คอนนอกศาสนา-มีนัยของการสงสารเห็นใจด้วย)ในอิสลาม
เพราะทุกศาสนาก็ถือว่าตนคือ"ความจริงสุงสุด"ด้วยกันทั้งหมดอยู่แล้ว
เราโตมาในสังคมพุทธของไทย เราก็จะมีกรอบการมองโลก - Cognitive Structure แบบพุทธไทย
และถือว่าคนที่คิดนอกเหนือจากนี้คือผิดแน่ๆอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่มุมมองที่มองออกมาจากศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
จะตัดสินว่าแนวคิด"บางชนิด"นั้นผิด
อธิบายมุมมองของตนเองก่อนนะครับ ยินดีมากที่จะได้สนทนากับหลวงพี่
ในที่นี้ ผมควรบอกด้วยว่า ผมไม่อยู่ในกรอบความคิดแบบช่วงชั้นทางสังคมของไทย
คือมองไม่เห็นสถานะของบุคคล ไม่ว่าจะที่อายุหรือสถานะทางสังคม
พระสำหรับผมก็คือมนุษย์ พระมหากษัตริย์สำหรับผมก็คือมนุษย์
ทุกคนคือมนุษย์เท่าเทียมกันหมดบนพื้นฐานการถกเถียงของเหตุผล
ขอเพียงเราทำมันอย่างสุภาพและมีเหตุผลพอ เพราะยิ่งเราคิดว่าทุกคนคือมนุษย์เท่ากัน
เรายิ่งต้องใส่ใจและเคารพทุกคนเท่ากัน
ยังไม่ได้เสนอหรือถามอะไรเลย ปูพื้นไว้ก่อนครับผม
เนื่องจากหลายๆคนแถบนี้ ถกเถียงกันเรื่องศาสนาการเมืองสังคมกันมายาวนานหลายปี
รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว จึงขอย่นย่อมาให้หลวงพี่อ่านในไม่กี่ย่อหน้า