หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 ... 111
 
ผู้เขียน หัวข้อ: กระจู๋สูญเสีย  (อ่าน 385289 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ดีใจด้วยนะคะ
บันทึกการเข้า
เรื่องทั้งหมดนี้ มันมีประเด็นอยู่ที่
ถ้าไม่ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจและทำการช่วยเหลือต่อไป อาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรือไม่
ต้องรีบตอบก่อนว่า สำหรับกรณีคุณย่าของคุณตั้ม ผมเชื่อว่า "ต่อให้ใส่ต่อไป ก็จะดีเท่านี้"
เพราะเครื่องช่วยหายใจ ถ้าถอดแล้วหายใจเองได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใข้
สิ่งที่รพ.จะทำต่อถ้านอนรพ.ก็คือ ให้น้ำเกลือ และรอดูว่าจะฟื้นหรือไม่

ถ้าเป็นในต่างประเทศ ว่ากันตามหนังสือ ถ้ามีกรณีแบบนี้ขึ้นมา เขาจะให้ใส่เครื่องช่วยหายใจต่อไปและรอจนกว่าจะหายใจเองได้หรือจนกว่าจะฟื้น .... ถ้าไม่ฟื้น และถอดเครื่องไม่ได้ ก็ต้องเจาะคอและใช้เครื่องช่วยหายใจ ใส่อาหารเหลว ดูแลผู้ป่วยไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสียชีวิต..... ดังนั้นบางประเทศก็เลยมีการออกกฎหมายการุณฆาต Mercy Killingขึ้นมา


ในเมืองไทย มีปัญหาว่าไม่มีกฎหมายนี้ ดังนั้น หากเกิดมีผู้ป่วยที่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะเสียชีวิตแน่นอน หรือถ้าช่วย ก็มักลงท้ายที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวไม่ตอบสนองนอนแบบ ผัก (vegetative state) หรือBrain Deathสมองตาย ก็จะบอกญาติ และแนะนำให้จัดการถอดเครื่องช่วยชีวติก่อนที่จะถอดไม่ได้
เพราะถ้าผู้ป่วยมีการดำเนินของโรคต่อไปจนถอดเครื่องไม่ได้ ก็จะไปตกที่สองแบบ
- Brain Death อย่างนี้ถ้าสมองตายจริงก็ไม่มีปัญหา เพราะการที่สมองตายถือว่า"ตายแล้ว" ถอดเครื่องช่วยหายใจได้เลย และต่อให้ไม่ถอด ถึงจุดหนึ่งหัวใจจะหยุดไปเอง
- Vegetative state หัวใจเต้นได้ แต่การหายใจจะต่างกันไป บางคนหายใจเองไม่ได้ ถ้าถอดแล้วตาย... บางคนหายใจเองได้ ก็ถอดท่อได้ แต่จะนอนอย่างเดียวไม่รับรู้อะไร  ..... กลุ่มที่ถอดไม่ได้ถอดแล้วตายเมื่อมาถึงจุดนี้ ทั้งหมอ และญาติ ไม่สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจได้ เพราะถือว่าเป็นการฆาตกรรม

ในช่วง20-30ปีที่ผ่านมานี้ การช่วยชีวิตด้วย CPR มีความก้าวหน้ามากขึ้น เครื่องช่วยหายใจก็ดีขึ้น ICUดีขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ คนไข้แบบผักมีสูงขึ้น
เมื่อก่อน แพทย์ดูแลผู้ป่วยแบบครบองค์รวมมาก เมื่อถึงจุดที่รู้ว่าไม่มีทางดีไปกว่านี้ ญาติบางคนมีปัญหาเรื่องการเงินมาก เพราะการมาเฝ้าที่รพ.ก็ย่อมหมายถึงการขาดรายได้ เคยมีกรณีที่คล้ายๆกันนี้ที่แพทย์ยอมทำตามที่ญาติขอร้องคือถอดเครื่องออก .... ต่อมาญาติอีกกลุ่มได้นำเอาประเด็นนี้ไปฟ้องเพื่อเรียกเอาเงินจากแพทย์...... (เคยมีงานวิจัยสอบถามเมื่อ2546-47 ผู้พิพากษา+อัยการ เกิน50%บอกว่าแพทย์ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา และต้องได้รับโทษจำคุกจากกรณีนี้) อีกทั้งยังมีประเด็นหลายอย่างทางสังคม อย่างเช่นถ้าแพทย์ยืนยันไม่ถอดเครื่อง หรือตัดสินใจรอดูไปก่อน แล้วคนไข้เกิดไม่ฟื้นก็เคยมีกรณีที่ญาติไม่พอใจแพทย์จนเป็นเรื่องเป็นราว

ดังนั้นในช่วง10ปีหลังมานี้ มีการพูดคุยเรื่องพวกนี้ในระดับการเรียนแพทย์มากขึ้น มีการเอากรณีที่แพทย์เจอญาติที่ไม่ดี เอามาพูดมาทบทวนมากขึ้น .... แพทย์รุ่นหลังๆก็จะเริ่มกลัวและระวังตัวมากขึ้น
อีกทั้งในระยะหลัง30บาท เตียงเต็มมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องไม้เครื่องมือมีไม่เพียงพอ บางครั้งรพ.ก็มีนโยบายเคลียร์คนไข้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างให้มากที่สุด (นึกสภาพถ้ามีผู้ป่วยนอนใช้เครื่องช่วยหายใจในสภาพผัก 10คน ส่วนคนที่พอมีโอกาสรอดกลับมาหายเป็ฯปกติ แต่มาถึงไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ก็ต้องตายไป)
ปัจจัยหลายๆอย่างมันรุมกันเข้ามา.....

ในกรณีผมเอง ก็เคยเจอกับกรณีคล้ายๆแบบนี้ ผมปฏิบัติต่างกันออกไปคือ หลังหัวใจหยุดเต้น ต้องนอนรพ.ต่อเกินกว่า24ชม. (แม้ไม่มีหวัง ญาติจะขอร้องเอากลับบ้านไปตายที่บ้านยังไง ผมก็จะไม่ยอม) หลังจากนั้นค่อยว่ากันต่อ

ส่วนกรณีนี้ คงต้องดูกันต่อไปครับ
สำหรับมาตรฐานสากลโลก คงไม่ถูกต้องนัก
สำหรับสถานการณ์บ้านเราขณะนี้ ผมว่าทำแบบนี้ก็ไม่ได้ถือว่าผิดประหลาดอะไรมากมาย และกรณีนี้เท่าที่อ่านแล้ว ผลที่ได้คงไม่แตกต่างกันมากนัก

ยังไงก็ขอเอาใจช่วยครับ

เพิ่มเติม
แอบอ้าง
ผมไม่ได้อยากได้ความคิดหมอท่านอื่นไปเถียงหมอท่านนั้นนะ
อ้อ
กรณีแบบนี้ ตามมารยาท ถ้าจะออกความเห็นที่สองที่สามที่สี่ ควรมีSub title แบบนี้เสมออยู่แล้วครับ

อ้า... อีกเรื่อง

แอบอ้าง
ตู : ทำไมต้องตะล่อมวะ ถามเฉยๆไม่ได้เหรอ
เพื่อนหมอ : บางทีนางพยาบาลบางคนเค้าเรื่องมาก เออเป็นเรื่องภายในวงการมึงอย่ารู้เลย
มันคือปัญหาเรื่องเวชระเบียนครับ

เวชระเบียนปัจจุบันยังถือเป็นสมบัติของโรงพยาบาลนั้นๆ  ไม่ใช่ของผู้ป่วย
แพทย์และพยาบาลไม่มีสิทธิให้ใครดูทั้งนั้น ถ้าผู้ป่วยจะดูสามารถดูได้แต่ต้องทำเรื่องกับทางรพ.ก่อน (ในทางปฏิบัติก็ปล่อยๆเออออกันไป)
ยิ่งกรณีคนแก่อาการไม่ดี ต้องระวังให่มาก เพราะว่ามันมีกรณีของเรื่องมรดก ประกัน เข้ามาเกี่ยวข้อง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 พ.ย. 2006, 00:55 น. โดย หมอแมว » บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
เรื่องต่างๆได้ตอบหมอไปหน้าก่อนหน้านี้แล้ว และก็ตัดสินใจไปก่อนที่หมอจะแนะนำมา
ทั้งเรื่องเครื่องช่วยหายใจที่ตัดสินใจว่าจะไม่ใส่ในกรณีที่ "ถึงใส่ก็ช่วยยืดเวลาการตาย ไม่ได้ช่วยชีวิต" (อย่างที่หมอบอก)

อาการตอนนี้พูดกับย่าแล้วแกพยายามจะอออกเสียงพูดตอบเรา แต่ฟังไม่เป็นศัพท์
ให้อาหารเหลว ให้น้ำเกลือ และแปะท่อออกซิเจนไว้ที่รูจมูก
ขยับแขนได้ทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถขยับตัวและขาได้
มีแผลขนาดครึ่ง ซม. 4 จุดที่หลังคล้ายการถลอก

ตอนนี้ทำใจเรื่องย่ามานานแล้วครับ (แต่ก็ยังมีหวังลึกๆขึ้นมาอยู่)
ขอบคุณหมอมากๆ  เจ๋ง
บันทึกการเข้า

ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววว

อ้า... อีกเรื่อง
มันคือปัญหาเรื่องเวชระเบียนครับ

เวชระเบียนปัจจุบันยังถือเป็นสมบัติของโรงพยาบาลนั้นๆ  ไม่ใช่ของผู้ป่วย
แพทย์และพยาบาลไม่มีสิทธิให้ใครดูทั้งนั้น ถ้าผู้ป่วยจะดูสามารถดูได้แต่ต้องทำเรื่องกับทางรพ.ก่อน (ในทางปฏิบัติก็ปล่อยๆเออออกันไป)
ยิ่งกรณีคนแก่อาการไม่ดี ต้องระวังให่มาก เพราะว่ามันมีกรณีของเรื่องมรดก ประกัน เข้ามาเกี่ยวข้อง



แค่อยากรู้นะครับหมอ แล้วมันไม่ขัดกับข้อปฏิบัติในใบประกอบโรคศิลป์เหรอครับ
เนื้อหาประมาณว่า ผู้ป่วยควรได้รับทราบถึงโรคที่ตนเองเป็นและแนวทางการรักษา

แต่ในกรณีผมนะหมอ
ผมไม่ได้ขอดู แต่ขอให้เค้าไปค้นมาเพื่อให้หมอที่อยู่ ER รักษา เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการรักษาที่ถูกต้อง เพราะพอผมพาย่าเข้าไป เค้าก็เขียนประวัติคนไข้ใหม่เลยโดยไม่ไปค้นประวัติที่เคยรักษามาก่อน
(เพื่อนผมมันบอกว่ามันขึ้นกับระบบของ รพ นั้นๆ) แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะครับ เพราะหมอที่มาดูย่าก็วินิจฉัยและรักษาให้เรียบร้อยแล้ว
บันทึกการเข้า

ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววว
เห็นใจ
เวลาใครไม่สบายคนก็หดหู่กันทั้งบ้าน  หน้ามึน

บันทึกการเข้า
แค่อยากรู้นะครับหมอ แล้วมันไม่ขัดกับข้อปฏิบัติในใบประกอบโรคศิลป์เหรอครับ
เนื้อหาประมาณว่า ผู้ป่วยควรได้รับทราบถึงโรคที่ตนเองเป็นและแนวทางการรักษา
รู้ได้ แต่ห้ามดูหรือคัดลอกไปครับ
มันไม่ขัด หากหมอได้ให้ข้อมูลไปครบหรือพอเพียงเท่าที่ควรจะรู้หรือมีผลต่อการรักษา

สาเหตุที่ไม่ให้ดูตัวจริง เพราะว่ามันจะมีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ควรเปิดเผยหรือไม่ควรให้คนอื่นรู้
บางครั้ง ข้อมูลที่อยู่ในนั้นบางอย่าง ตัวคนไข้ห้ามรู้

จริงๆหมอส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบครับ เพราะว่าเวลามาขอประวัติจากรพ.รัฐบาล หมอก็เลยxeroxให้ไม่ได้ ต้องมานั่งเขียนประวัติใหม่ในกระดาษอีกแผ่น... หรือถ้าจะxerox ก็ต้องมานั่งหาว่าตรงไหนห้ามเปิดเผยก็ต้องเอาปากกาดำขีด ฮิ้ววว
ส่วนในทางปฏิบัติ หมอคนไหนต่ำกว่าC6 และให้คนไข้xeroxไปทั้งดุ้น ก็เสี่ยงเอาขาไปวางในตะราง1ข้างครับ  ฮิ้ววว/
บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
สู้ ๆ นะตั้ม


เห็นเป็นกระจู๋สูญเสีย...ว่าจะมาเล่าเรื่องเพื่อนสักหน่อย   หน้ามึน
บันทึกการเข้า

เลวยั้นเงา
เล่าเลยครับ นัท 

ต่อไปจู๋นี้จะได้เป็น จู๋สูญเสีย ที่รวมประสบการณ์ของทุกคน
จะได้ช่วยกันแบ่งเบาความเศร้าที่เกิดจากการสูญเสียไง
เดี๋ยวผมจะแวะมาเล่าบ้าง....
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ขอบคุณหมอแมวครับ
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 ก.พ. 2007, 13:43 น. โดย โลกส่วนตัว » บันทึกการเข้า

ขอบคุณมากครับได้ความรู้อีกเยอะ
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
คุณย่าผมก็เคยเป็นลักษณะนี้ครับแต่เป็นลิ่มเลือดเข้าไปอุด
ทำให้เลือดไม่เดินแล้วก็หมดสติไปครับ ก็ส่งโรงบาลหมอก็
ช่วยจนฟื้นครับแต่พอสมองขาดเลือด ก็เลยเป็นอัมพาตครึ่งล่างครับ
ก็ทำกายภาพกันต่อครับ
บันทึกการเข้า

ความสวยไม่รับประกัน แต่ความมันเดี๊ยนรับรอง

ส่วนในทางปฏิบัติ หมอคนไหนต่ำกว่าC6 และให้คนไข้xeroxไปทั้งดุ้น ก็เสี่ยงเอาขาไปวางในตะราง1ข้างครับ

ถ้ามากกว่าซี6 ไม่เป็นไรเหรอ
มากกว่า C6 ก็ต้องมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานเวชระเบียนหรือได้รับมอบหมายจากผอ. จึงจะให้ได้ครับ ไม่งั้นก็เหมือนกันอยู่ดี  ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
ยินดีด้วยนะคะ  ยิ้มน่ารัก

ดูแลท่านให้ดีนะคะ

ขอบคุณหมอแมวสำหรับความรู้นะคะ  ยิ้มน่ารัก
บันทึกการเข้า

นานๆ จะเข้ามาที
ยินดีด้วยนะครับ
เคยนึกถึงงานศพญาติตัวเองบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆหรือพ่อแม่ มันเป็นเรื่องที่ใจหายจริงๆด้วย

ชอบคำของพี่โน๊ตที่ว่า พ่อแม่เหมือนยาคุลส์รีบกตัญญูก่อนหมดอายุ
บันทึกการเข้า

(+2) ทั้งลุงตั้มทั้งหมอแมวเลยครับ

กระจู๋นี้ทำให้ชีวิตคนอ่านโตขึ้นอีกระดับนึงเลย
จริงๆ เนื้อหาแบ่งเป็น 2 ประเด็น
คือการเตรียมใจรับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ เข้าสักวันกับญาติของเราหรือคนที่เรารัก
แต่จะมาเมื่อไหร่ และมาอย่างไรนั่นอีกเรื่อง เพียงให้รู้ไว้ว่าวันนึงก็ต้องถึงเวลา

อีกประเด็นคือเรื่องความเข้าใจของคนไข้กับโรงพยาบาล
ซึ่งตั้งแต่รู้จักพบรักกับหมอแมวมา ก็ได้ความกระจ่างหลายๆ อย่างแบบที่โรงพยาบาลให้คำตอบไม่ได้
(หรือแม้แต่โทรไปถามเพื่อนที่เป็นหมอ แม่งก็ปากจัดและแดกคนไข้กันจริงๆ)
อย่างที่ผมเคยถามเรื่องลิ้นไก่บวมและหมอแมวก็เข้ามาตอบกระชับๆ แค่นั้น
ดูแล้วอาจเป็นเรื่องเล็กที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่นั่นมันคือคำตอบของชีวิตที่ผมสงสัยและจมปลักอยู่กับมัน
เพียงแค่ความกระจ่างจากแพทย์ที่มีต่อคนไข้ เท่านี้ก็พอแล้วครับสำหรับหลายๆ คน
หมอแมวครับ ตอนนี้หมอเป็นฑูตของหมอทั้งปวงกับคนใช้อินเทอร์เน็ตแล้วนะ

ป.ล.ช่วงที่ย่าผมเสีย ผมทำโปรเจ็ควิชาถาปัดคืนช่วงท้ายๆ อยู่ เลยกลับบ้านไม่ได้ และไม่ได้ไปแม้งานศพ
ป.อ. นึกถึงหนังสือ "ผมขอใช้สิทธิ์ที่จะตาย" -- ยังอ่านไม่จบเลย
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 ... 111
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!