หน้า: 1 ... 4 5 6 7 8 9 10 [11] 12 13 14 15
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อการเข้าถึงพระพุทธศาสนา!!!  (อ่าน 59539 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
ทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ไม่เดือดร้อนตัวเองและบุคคลรอบข้างก็เพียงพอแล้วครับ
ศาสนาไหน ก็อยู่ร่วมกันได้



ไม่มีอะไรครับ  ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า

Today you , Tomorrow me.
ไม่เข้าข่าย มิจฉาทิฏิฐ ก็โอเคนะศาสนาไหนก็ได้ ลุยโลด

บันทึกการเข้า

รับงานถ่ายภาพ
www.rpash.com
ทำดี เว้นชั่ว
รักษาศีล(เท่าที่ได้)แค่นี้แหละ
 ยิ้มน่ารัก ยิ้มน่ารัก
บันทึกการเข้า
ทำสิ่งที่ตัวเองทำแล้วสบายใจสิครับ
แต่ไม่เห็นจะมีทางเลือกบ่อยนัก  ไอ้มืดหมี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 ม.ค. 2007, 20:39 น. โดย ซาฟิเร่ » บันทึกการเข้า
อันที่จริงเรื่องศาสนามันละเอียดอ่อนจริงๆแหละ
เป้นสาเหตุทำให้ทะเลาะกันได้  ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า

ยิ้มน่ารัก น้องดำ
เทพมังกรออออกไปปป๊ย์ย์ย์
ขออึ่งปอองโจจจงงงงงอวยยยยชัยยยย ~

หน้ามึน
บันทึกการเข้า
 กร๊าก

เทพมังกร กับอึ่งปองทะเลาะกันนี่คงสนุกพิลึก
บันทึกการเข้า
เทพมังกรออกไป
อึ่งปองอวยชัย
เอนมาเอนมา  กร๊าก
บันทึกการเข้า

ยิ้มน่ารัก น้องดำ


เทพมังกรเท่านั้น

ลัทธิสาวแว่นจงเจริญ   นะนะนะ

ขาวมา ๆ  แอบหื่น
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
 (อิอิ)
อึ่งปองจงอวยชัย~
(ลัทธิอึ่งปองฉบับเต็มยังไม่ได้ร่าง  กร๊าก)
บันทึกการเข้า

ยิ้มน่ารัก น้องดำ
ชอบความเห็นพี่เอ้ครับ ง่ายๆแต่โดน

การ อยู่ร่วมกันให้สมานฉันท์ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงความคิด
และความเชื่อของอีกฝ่ายให้เป็นแบบเราทั้งหมด
รากเหง้าของปัญหาความไม่พอใจของภาคใต้ก็มาจาก
ครั้งหนึ่งรัฐบาลเราก็พยายามจะเปลี่ยนเค้าโดยไม่เคารพจุดยืนและวัฒนธรรม
ของกันและกันนี่ล่ะครับ

ถ้าจะต้องเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปอธิบายหลักการของคริสต์
เอาหลักการอิสลาม มาอธิบายพระเจ้าของฮินดู โลกของเราจะเป็นอย่างไรครับ

สมานฉันท์ คือ การเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น
เรียนรู้และยอมรับในแต่ละฝ่ายอย่างมีจุดยืน
น่าจะเป็นสิ่งที่ศาสนิกของทุกศาสนาควรกระทำจริงไหมครับ


ไม่ได้อธิบายให้ใครฟังหรอก
พูดกับคุณคนเดียวนั่นแหละครับ

นั่นแหละ คุณนั่นแหละ อย่างงสิ  ฮิ้ววว
บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM


 งง งง



























อะ ล้อเล่น  เกย์แอบ
บันทึกการเข้า

เราจะต้องการอะไรมากมายไปกว่า อะไรมากมาย
ผมไม่ได้จะลบหลู่นะครับเพียงแต่สงสัย ย้ำนะครับ ผมไม่ได้จะลบหลู่นะครับเพียงแต่สงสัย
เพราะศาสนาของใคร ย่อม มีความศรัทธา อย่างแรงกล้าอยู่แล้ว
พระพุทธรูปที่พวกคุณไหว้ กันอยู่ เป็นแค่ปูน ตึกที่ผมอยู่ มันก็ปูน
พระเจ้าของพวกคุณอยู่ในนั้นเหรอ แล้วผมเห็นพระ เอาน้ำมาสาดไล่ผี (เรียกสาดหรือเปล่า คือเอาใบไม้มาจุ่มๆ แล้ว สบัด) และที่เอาอวัยวะเพศชายมาห้อย  ผมรู้สึกงง แปลก นะครับ
ผมไม่เข้าใจ
พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ถึงพระพุทธเจ้า(ความจริงต้องบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้เรารู้ทันความทุกข์ - ว่าไปตามหลักการน่ะนะ)
การสร้างพระพุทธรูปมีมาในสมัยหลัง สมัยก่อนพระองค์ตายใหม่ๆ ทรงพูดว่า "ถ้านึกถึงเราก็ให้นึกถึงต้นโพธิ์" 
คือสมันแรกใช้ต้นโพธิ์  พระพุทธรูปมีมาทีหลัง
ส่วนเอาน้ำมาสาดไล่ผี พรมน้ำมนล้างซวย เอาอวัยวะมากราบไหว้  พวกนี้ไม่ใช่พุทธศาสนาครับ
ท่านพุทธทาส ใช้คำว่า "พุทธศาสนาเนื้องอก"  คือมันงอกมาทีหลัง  สมัยก่อนนี้มันไม่มี
ไปเจอวัดไหนนิยมทำของพวกนี้ คือเอาน้ำมาสาดไล่ผี พรมน้ำมนล้างซวย เอาอวัยวะมากราบไหว้
 
ก็ไม่ต้องไปเข้า หรือว่า มันเป็นกันทุกวัด 555
อันนี้ป้าจะเข้ามาตอบและแก้ไขตามความรู้ ความเข้าใจที่เรียนมานะ
ซ้ายสะเทือนทุ่ง : พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ถึงพระพุทธเจ้า ความจริงต้องบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้เรารู้ทันความทุกข์
อันนี้ถูกต้องจ้า แต่อยากเสริมว่า เพื่อให้ระลึกถึงพระคุณระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ส่วนที่บอกว่า สมัยก่อนพระองค์ตายใหม่ๆ ทรงพูดว่า "ถ้านึกถึงเราก็ให้นึกถึงต้นโพธิ์" 
อันนี้ป้าไม่เคยได้ยินนะ เคยได้ยินแต่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
แต่เดิม ศาสนาพุทธ ไม่มีการกราบไหว้รูปเคารพ  แต่ต่อมา สมัยที่อินเดียโดนรุกรานจากชนชาติกรีก-โรมัน ก็เลยมีวัฒนธรรมกราบไหว้รูปเคารพค่อยๆแทรกซึมในพุทธศาสนา ...เป็นเหมือนการซึมซับทางศิลปะวัฒนธรรมอย่างนึง

สมัยก่อนสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ ก่อนที่จะมีการกราบไหว้รูปเคารพในพุทธศาสนา คือ ธรรมจักร และ กวางหมอบ เป็นสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า พุทธศาสนาเผยแพร่มาถึงดินแดนนี้แล้ว



โดยความหมายของธรรมจักรมาจาก การแสดงธรรมครั้งแรกของพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้

พระพุทธเจ้าได้โปรดประทานเทศนาเป็นครั้งแรกแก่พระภิกษุปัญจวัคคีย์ คือพวกพระภิกษุ 5 องค์ ณ อิสิปตนะมิคทายวัน ในเมืองพาราณสี เทศนาครั้งแรกนี้เรียกกันว่า "ปฐมเทศนา" และเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปฐมเทศนานั้น เรียกว่า "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" แปลง่าย ๆ ก็ พระสูตรว่าด้วยเรื่องพระพุทธเจ้าทรงหมุนล้อแห่งธรรมหรือธรรมจักร

นักปราชญ์ทางศาสนาจึงกำหนดธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์ของวงล้อ ธรรมะอันจะหมุนเคลื่อนตัวไปรอบแล้วรอบเล่า เพื่อจะให้เข้าถึงคนทั่วๆไป

                ตราธรรมจักรถ้ามี 4 กง อาจหมายถึง หลักอริยสัจ 4
                ตราธรรมจักรถ้ามี 8 กง อาจหมายถึง มรรคมีองค์ประกอบ 8 ประการ
                ตราธรรมจักรถ้ามี 16 กง อาจหมายถึง ญาณ 16 ในวิปัสสนากรรมฐาน

                กงในตราธรรมจักรอาจมีหลายกง(ซี่ ล้อ) สุดแต่จะกำหนดความหมายตามหลักธรรมที่ผู้สร้างเลื่อมใส หรือปฏิบัตินำมาย่อเข้าไว้

ส่วนทำไมต้องเป็นกวางหมอบ อันนี้ป้าจำไม่ได้  ลันล้า หาในเน็ทก็ไม่เจอ

แล้วถ้าจำไม่ผิด สัญลักษณ์ ธรรมจักร นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อกราบไหว้ แต่มีเพื่อบอกการมีอยู่ของพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนั้นตามที่กล่าวไปข้างต้น

ปล. ป้าเหนื่อยแล้วอ่ะ ตั้งใจตอบมากเลยนะเนี่ย

สรุปคือ อันที่จริงแล้ว พุทธศาสนาไม่ได้ส่งเสริมให้ไหวอิฐไหว้ปูน ไม่ได้ส่งเสริมให้นับถือเครื่องลางของขลัง พระเครื่อง พระธาตุ แก่นแท้ของพุทธศานาจริงๆแล้วคือธรรมมะ ไม่ใช่ของศํกดิ์สิทธ์ อิทธิปาฎิหารใดๆ

แต่ที่กลายเป็นพุทธศาสนาอย่างในทุกวันนี้เนื่องมาจากการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมเท่านั้น

เรื่องที่ การประพรมน้ำมนต์ (พระ เอาน้ำมาสาดไล่ผี เรียกสาดหรือเปล่า คือเอาใบไม้มาจุ่มๆ แล้ว สบัด)
อันนี้น่าจะได้อิธิพลมาจากศาสนา พราหม์ ฮินดู มากกว่า ส่วนเรื่องวิธีคิดนั้น ถ้าอยากรู้จริงๆต้องขอค้นคว้าก่อน ตรงส่วนนี้ไม่ได้เรียนมา เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม (ปล.ป้าจบเองศิลปะไทยจ้า เรื่องพวกนี้มันอยู่ในวิชาเรียน แต่มันไม่รวมเรื่องพรมน้ำมนต์)

เอาอวัยวะเพศชายมาห้อย 
อันนี้ก็ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่เป็นคติความเชื่อของทางศาสนาพารห์ม อวัยวะเพศชายในที่นี้ เค้าเรียกว่าปลัดขิก ซึ่งเป็นตัวแทนของพระศิวะ มีรูปร่างเป็นอวัยวะเพศชาย เชื่อว่า หากมีแขวนไว้ จะทำให้รอดพ้นจากอันตรายได้  สัญลักษณ์อีกอย่างที่ได้รับการเคารพบูชา ก็คือ โยนี เป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง เป็นตัวแทนของ พระแม่อุมา อัครมเหสีขององค์พระศิวะ  โดยส่วนใหญ่จะปรกฎบูชาควบคู่กันไป เรียกว่า ศิวลึงค์  เกิดจากการรวมของเพศชาย-หญิง คือ ความหมายของการก่อเกิด และ ความอุดมสมบูรณ์

อันที่จริงป้าเคยรู้มาว่า ศาสนาอิสลามไม่มีค่านิยมให้บูชารูปเคารพ แต่ดูเหมือนว่า จะสัญลักษณ์อยู่อย่างนึง ที่คนมุสลิมให้ความเคารพ นั่นคือ แท่งหินศักดิ์สิทธ์ ที่นครแมกกะ...(ป้าไม่แน่ใจนะ ถ้ามีใครรู้ก็เข้ามาให้ความรู้หน่อยสิ) เวลาทำละหมาด ชาวมุสลิมก็เลยต้องหันหน้าไปตามทิศทางที่อยู่ของหินก้อนนั้น ใช่มั้ย?

อีกอย่าง เคยเห็นแว๊บๆ ในกระจู๋สักที่ มีคนบอกว่า เพื่อนที่เป็นมุสลิมบางคนก็กินหมู ...อันที่จริง นั่นถือว่าบาปนะ ป้าเคยได้ยินมาว่าถ้าอดอยากใกล้ตายไม่มีอะไรกินจริงๆมีแต่หมู เท่านั้นล่ะ ถึงอนุญาติให้กินหมูได้ แต่ถ้ายังมีทางเลือกอื่นอยู่ เลื่ยงได้เลือกได้ ก็ไม่ควร บาปมาก

สมัยที่ป้าเด็กตอนอยู่ยะลาน่ะ รุ่นพี่ที่เป็นมุสลิมบางคนก็ดื่มเหล้า แล้วก็กินหมูด้วย นั่นถือว่าบาป แต่เค้าเป็นประเภทไม่เคร่งมากไง เหมือนที่ชาวพุทธผิดศีล5นั่นแหละ ศานาอิสลามน่ะ กินเหล้าก็บาป กินหมูก็บาป สัมผัสหมาก็ไม่ได้ ข้อห้ามกฎเกณก็เยอะ เหมือนที่พวกเรารักษาศีล นั่นแหละ

กฏเกณท์ข้อห้ามต่างๆ ของแต่ละศาสนาก็แตกต่างกันไป มีวิธีคิด ที่มาแตกต่างกันไป แต่ป้าเชื่อว่า ในแต่เรื่องราวกฎเกณท์นั่นนี่ มีที่มา และวิธีคิดด้วยกันทั้งนั้น

เรื่องศานาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องค่อยๆคุย ค่อยๆทำความเข้าใจกันไป

เหมือนเห็นแว๊บๆอีกเช่นกัน ว่ามีคนถามว่าทำไมพระของพุทธถึงไม่ทำมาหากิน ทำไมถึงต้องขอทาน ขอข้าวคนอื่นกินไปเรื่อยๆ อันนี้อ่านตอนแรกก็ตกใจ แต่ถ้าถามเพราะไม่เข้าใจและถามเพื่ออยากทำความเข้าใจอันนี้ถือว่าไม่ผิด เพียงแต่ใช้คำพูดรุนแรงไปหน่อย
หัวข้อนั้น ดูเหมือนจะมีคนมาตอบแล้ว ว่าเป็นเพราะพระสงฆ์คือผู้ละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ต้องไม่มีความอยากมีอยากได้ จึงไม่ขวนขวายหาเงินทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หน้าที่ของสงฆ์คือปฎิบัติธรรม...อะไรต่อ ป้าจำไม่ได้แล้ว  ฮิ้ววว


พอก่อนดีกว่า ป้าเหนื่อยอ่ะ ไม่มีใครบังคับให้ตอบกระทู้ซะหน่อย ตั้งใจตอบซะ  ฮิ้ววว ยิ่งกว่ากระทู้สีน้ำซะอีกนะเนี่ย

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 ม.ค. 2007, 02:58 น. โดย แป้งหวาน » บันทึกการเข้า

เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีได้
ผมบวกให้ป้าครับ 

ขอโชว์ภูมินิดนึงครับ

     พระสงฆ์ เป็นหนึ่งใน พระรัตนตรัย   หมีโหดดดด

    สงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา คือพระอัญญาโกณทัญญะ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีทั้ง 5
    หลังจากได้ฟังปฐมเทศนา ของพุทธองค์ ที่ปาอิศิมตนะมฤคทัยวัล (พิมพ์มั่ว หมีโหดดดด)
   
      พระอัญญาโกณทัญญะเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีทั้ง 5 ซึ่งประกอบไปด้วย
         
                โกณทัญญะ   วะปะ    ภัทธียะ  มหานามะ และอัสชิ 

                            ............... หน้ามึน.................
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
กระโดดหอมแก้มน้องกรี  กรี๊ดดดดด
แค่นี้ป้าก็หายเหนื่อยแล้วจ้ะ  ลันล้า
บันทึกการเข้า

เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีได้
หน้า: 1 ... 4 5 6 7 8 9 10 [11] 12 13 14 15
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!