ไม่เห็นต้องวางให้หมดเลย
ไม่ค่อยเห็นความจำเป็นของการปล่อยวาง
เพราะไม่ค่อยมีความเดือดร้อนกับอะไรอยู่แล้ว(เด็กแนวเรียก ชิว ชิว)
ยกเว้นบางเรื่อง ที่ต้องเดือดร้อนด้วย เหมือนมีคนอธิบายไว้ว่าแบบนี้
กวีมิใช่นักบวช ด้วยไม่อาจทำใจให้ปล่อยวาง
กวีไม่อาจปล่อยวางด้วยไม่เต็มใจละทิ้งความงาม
นักบวชยิ่งรู้ กวียิ่งตระหนัก
เมื่อพ่ายแพ้ต่อความงามก็พ่ายแพ้ความอัปลักษณ์
เช่นดอกไม้บานแล้วโรยรา, บานแล้ว ต้องโรยรา
เด็กเด็กไร้เดียงสาแล้วหยาบกร้าน, ไร้เดียงสาแล้วหยาบกร้าน
อารมณ์กวีนี้เพื่อปีติและปวดร้าว, ปีติและปวดร้าว
ย่ำย้ำซ้ำอยู่เช่นนั้น
จากท่อนหนึ่งของกลอนโดย เดือนวาด พิมวนา
/ มติชนสุดสัปดาห์เล่มเดือนตุลา
ไม่ต้องกวีก็ได้ คนที่ทำงานเกี่ยวกับความงามทั้งหลายแหล่
ก็คงปล่อยวางอารมณ์เพื่อความงาม และความอัปลักษณ์ไม่ได้
แค่อย่าเอาไปใช้กับเพื่อมนุษย์ด้วยกันพอ เดี๋ยวเดือดร้อน