หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 ... 162
 
ผู้เขียน หัวข้อ: โครงงานสอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า  (อ่าน 560284 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้
จำเป็นไหม กินข้าวจะต้องใช้ช้อน
ไม่ใช้ก็ได้นะครับ แต่มันจะลำบากหน่อย

อยากเป็นสถาปนิก ไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย เป็นสถาปนิกได้ไหมครับ
สำหรับบางคนมันก็ได้นะครับ  ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ได้ไปเสียทีเดียว
แต่มันจะยาก  สู้เข้าโรงเรียนดีกว่าครับ
บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
 งง
บันทึกการเข้า

เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีได้
ไม่รู้ว่าต้องบวชหรือเปล่าถึงจะนิพพานได้
แต่ที่แน่ๆ ต้องฝึก ต้องปฏิบัติครับ

อย่างณัฐว่าแหละครับ เข้าโรงเรียนเหมาะกว่า
บันทึกการเข้า

        AH_LuGDeK, AH_LuGDeK_R
สมมติเรา พายเรือข้ามฝั่ง แต่ในเรือเรามีสัมภาระมากมาย ....การพายเพื่อให้ถึงฝั่งก็จะยากมากด้วย (แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้) ดังนั้น ถ้าเราโยนสัมภาระเหล่านั้นลงจากเรือ ให้หมด การพายให้ถึงฝั่งย่อมทำได้ง่ายกว่า....


 เรื่อง ท่านปยุตโต ผมถือว่าท่านเป็นปราชญ์ทางธรรมคนหนึ่ง ดูจากฉายา ก็รุ้ว่าทานมาทางสายธรรม...
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ณัฐอธิบายแจ่มแจงแวงจริงๆ
เรื่องยอดด้วน


นิพพานช่างเป็นเรื่องน่าพิศวงจริงๆนะครับ
ตอนเด็กๆเคยอ่านหนังสือของหลวงปู่ชา
(ชอบคำสอนของท่านมาก ดังที่เคยเล่าให้ฟังเรื่องตายแล้วไปไหน)

ท่านบรรยายไว้ว่า วันหนึ่ง ท่านธุดงค์ไปแทบไม่ได้พบเจอผู้คนมานาน
ปฏิบัติอย่างหนักหน่วงในหุบเขา ไม่รู้วันรู้คืน ไม่รู้หลับรู้ตื่น
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จนกระทั่ง ท่านนั่งสมาธิไปนาน
ใต้ผาหินแห่งหนึ่ง นานจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
จนในจิตใจไม่เหลือสิ่งใดให้คิด ให้นึกถึงแล้ว (นั่งนานจนคิดไปหมดทุกเรื่องแล้ว)
แม้แต่ความกังวล ความสงสัยใดๆ ว่าตนเองต้องการนิพพานหรือไม่นิพพนานไหมก็ยังหายจากใจไปหมด
ไำม่มีสิ่งใดเหลือติดค้างอยู่ในใจเลย

ท่านค่อยๆลืมตา มองไปรอบข้าง เห็นบาตรวางอยู่ เห็นย่าม
เห็นกาน้ำ เห็นโขดหิน เห็นพุ่มหญ้า ท่านบรรยายว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างกลมกลืนเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน แม้แต่ร่างกายท่าน

ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว


เป็นที่พูดกันทั่วไปภายหลังว่า นั่นคือการบรรลุอรหันต์
(ท่านไม่ได้พูดเอง) และเหมือนตอนเด็กจะเคยได้ยินใครเรียกว่าอรหันต์องค์สุดท้าย
จำได้ว่าตอนท่านเสีย ไม่เกินสิบปีมานี้เอง
ในหลวงราชินีเสด็จมาพระราชทานเพลิงศพด้วยตนเอง
ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ที่อุบลด้วยนะครับ


ไม่ใช่อะไรครับ ที่เล่ามา ภาวะที่ท่านบรรยายไว้นั้น
เมื่อตอนผมอยู่มัธยม ไปดูหนัง เรื่องหนึ่งที่พระเอกชื่อนีโอ
ฉากไคลแม็กซ์ ที่นีโอค่อยๆลืมตาขึ้นมา แล้วเห็นผนัง-ศัตรู-สรรพสิ่งทุกอย่าง
กลายเป็นเหมือนกันหมด ผมจึงเข้าใจว่าที่หลวงปู่ชาเห็นคืออะไร  ฮิ้ววว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ม.ค. 2007, 14:11 น. โดย เก้อ » บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM
ผมบวกพี่จักรี ด้วยครับ

ที่บ้านผม ติดเคเบิ้ลวัด ธรรมกาด้วยครับ
นั่งดู ธัมชโยพูด ท่ามกลางสานุศิษย์เสมอๆ(พร้อมทำตาเหลือก)

ไม่ได้ดูจริงจังสักหน(ได้ 5-10 นาที) ก็เปลี่ยน
ลูกสาวผมชอบดูตอนเป็น (อนิเมชั่น กินผัก)
ละแวกบ้านผมเป็น สาวกวัดธรรมกายกันบานเลย

อย่างไรเสีย

เรื่อง นิพพานเป็นอัตตา
หรือนิพพานเป็นอนัตตา

ธรรมกายว่าไว้อย่างไรครับพี่ชาร์ป

ผมถามด้วยความเคารพจริงๆ
เพื่อจะได้แจ้งใจ ว่าไม่ได้ฟังจากแถวอื่นที่อื่น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ม.ค. 2007, 15:59 น. โดย 'ระจัน » บันทึกการเข้า

ผมบวกพี่จักรี ด้วยครับ

ที่บ้านผม ติดเคเบิ้ลวัด ธรรมกาด้วยครับ
นังดู ธัมชโยพูด ท่ามกลางสานุศิษย์เสมอๆ(พร้อมทำตาเหลือก)

ไม่ได้ดูจริงจังสักหน(ได้ 5-10 นาที) ก็เปลี่ยน
ลูกสาวผมชอบดูตอนเป็น (อนิเมชั่น กินผัก)
ละแวกบ้านผมเป็น สาวกวัดธรรมกากันบานเลย

อย่างไรเสีย

เรื่อง นิพพานเป็นอัตตา
หรือนิพพานเป็นอนัตตา

ธรรมกาว่าไว้อย่างไรครับพี่ชาร์ป

ผมถามด้วยความเคารพจริงๆ
เพื่อจะได้แจ้งใจ ว่าไม่ได้ฟังจากแถวอื่นที่อื่น



 ลันล้า



แต่ถ้าตั้งใจ ป้าคงหน้าแตก  หน้าแตก
บันทึกการเข้า

เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีได้
ลันล้า



แต่ถ้าตั้งใจ ป้าคงหน้าแตก  หน้าแตก

บวกพี่ จิ้มจุ่มนาโน ด้วย
บวกป้าด้วย

ผมหน้าแตก  ฮือๆ~
บันทึกการเข้า

55555 แซวเล่น ในบ่ายน่าเบื่อและปวดท้องเช่นนี้

ปล. นั่งรออ่านกระจู๋ต่อ  กรี๊ดดดดด
บันทึกการเข้า

เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้ดีได้
อ่านมาสักพักก็เข้าใจ
ผู้บรรลุนิพพาน มองโลกได้แบบเมทริกซ์

 ฮิ้ววว
เข้าใจล่ะ
บันทึกการเข้า

ฝันซ่อนสับสนวุ่นวาย หย่อนคล้อย
บุญที่ธรรมกายแบ่งกันเป็นชั้นๆ ครับ
บางคนถึงกับกู้เงินมาทำบุญ
เพราะเชื่อว่าการทำบุญเป็นการลงทุน...  หน้ามึน

พิธีกรรมแต่ล่ะครั้งใช้งบประมาณเหยียบล้านครับ
เค้าพยายามจะแสดงความศรัทธามากจนดูเกินเลยไปหน่อยนึง
เคยไปนอนอยู่ในนั้น 2 คืน
มีพระแผนก Maya นั่งคุม rendering งานอยู่ในห้องแอร์ด้วยครับ  ง่ะ
เดี๋ยวนี้คงมี Dualcore เรียงเป็นตับ...  ฮิ้ววว


...

ชอบที่ลุงณัฐว่า...
 ไหว้
บันทึกการเข้า
ยังคงรออ่านครับ
นี่เป็นกระจู๋ศาสนาเปรียบเทียบที่น่าอ่านกว่าของคุณชัยวุธเป็นไหนๆ
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ไม่รู้ว่าต้องบวชหรือเปล่าถึงจะนิพพานได้
แต่ที่แน่ๆ ต้องฝึก ต้องปฏิบัติครับ

อย่างณัฐว่าแหละครับ เข้าโรงเรียนเหมาะกว่า


 หมีโหดดดด/


สมัยพุทธกาล ที่คนฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเสร็จ
ก็บรรลุอรหันต์ได้ เนื่องจากคนสมัยนั้น มีการบำเพ็ญเพียรกันขนาดหนัก
มีการฝึกสมาธิกันเป็นกิจวัตร จนได้ฌานกันอยู่แล้ว
พระอาจารย์ของผมท่านบอกว่า อย่างพวกโยคีที่อินเดีย
บางท่านฝึกสมาธิจนถึงขนาดว่า ให้ผู้หญิงไปลูบลึงค์ ก็ไม่รู้สึกอะไร

แต่อย่างในปัจจุบัน ปัญหาก็คือ
เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า โรงเรียนไหนที่จะเหมาะกับจริตของเรา
จนกว่าจะได้เข้าไปเรียน แล้วจะฝึกปฎิบัติ
แล้วอีกอย่างนึง คนสมัยนี้จะหาคนที่ตั้งใจ
ปฎิบัติธรรม ไปให้ถึงพระนิพพานได้เนี่ย ยากยิ่งกว่ายาก
แต่จะหาครูบาอาจารย์ ที่จะคอยชี้แนะให้ไปถึงได้ยิ่งยากกว่า
เพราะคนที่จะบอกได้ว่า คนๆนั้น ''รู้'' ก็คือคนที่ "รู้" แล้วเท่านั้น

กรณีของธรรมกาย หรือแม้กระทั่งกรณีของท่านพุทธทาส
ก็ยังมีคนบอกว่า ท่านพุทธทาสสอนผิด

ผมไม่อาจก้าวล่วงไปวิจารณ์ ทั้งธรรมกาย หรือ ท่านพุทธทาส
เพราะตัวผมเอง ก็ไม่ได้  "รู้" จริง
ก็ได้แค่พยายามเป็น พุทธศาสนิกชนที่ดี
ที่แม้จะไม่ค่อยดีนัก
ปฎิบัติธรรมบ้างในบางโอกาส

ผมยังเชื่ออยู่ว่า แค่การเข้าใจ ไม่เพียงพอ เราไม่สามารถ "รู้" ได้
้จากการถกเถียงหาข้อยุติ หรือจากการอ่านท่องพระไตรปิฎก
แต่เราจะ "รู้" ได้จากการปฎิบัติเท่านั้น

กรณีของกระจู๋นี้ผมว่าเป็นเรื่องของเจตนาดี
ที่จะชักชวนผู้คนให้สนใจ พระพุทธศาสนา
ส่วนที่ว่า จะผิดจะถูกในส่วนยอด
เชื่อว่าผู้มีปัญญาแต่ล่ะท่าน คงมีสติ รับรู้ และแยกแยะได้ในที่สุด


ป.ล. คิดต่อนะครับว่า ถ้าต้องบวช นี่เป็นสาเหตุนึงใช่ไหมครับ
ที่ผู้หญิงจะไม่มีโอกาสไปถึงนิพพาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ม.ค. 2007, 23:58 น. โดย iamnot » บันทึกการเข้า
อันนี้ผมก็ว่าไปตามหลักการน่ะนะ

อะแฮ่ม..
นิพพานในพุทธศาสนาก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นอะไรเลย
เพียงแต่มันเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา 
บางคนก็ใช้เวลาปฏิบัตินาน บางคนก็ปฏิบัติเร็ว บางคนก็เจ็ดปี บางคนก็แค่เจ็ดวัน บางคนก็เจ็ดนาที
แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคน

นิพพาน
มันเป็นสภาวะที่ก้าวข้ามไปแล้วทั้งใช่ และไม่ใช่  ไม่มีทั้งเอา และไม่เอา  คือไม่มีทั้งตอบรับ และ ปฏิเสฐ(เขียนไงวะ) ไม่มีทั้งอร่อย และไม่อร่อย  ไม่มีทั้งชอบ และไม่ชอบ
คือมันจะแทงกั๊กอยู่ตรงกลางพอดี  ไม่ใช่ว่าอรหันต์ที่ไหนไม่สนใจผู้หญิงโป๊ๆเพราะว่าไม่ชอบนะครับ
เพียงแต่ว่า ท่านจะมองคนละแบบกัน คนที่เข้าใจธรรมมะ(ชาติ) เข้าใจความทุกข์ เขาจะมองเห็นคนละแบบกับพวกเราน่ะ
ไม่ใช่ทั้งอยากได้ และไม่อยากได้

บางทีคนเราไม่เอาอะไรก็เพราะรังเกียจ แต่อรหันต์ท่านไม่ได้รังเกียจผู้หญิงโป๊ๆน่ะครับ
แต่ว่า คือ ไม่ติด ทั้งสองฟาก คือ  ทั้งชอบ  และไม่ชอบ  น่ะ
เพราะความเข้าใจที่ถูกต้อง  ทำให้ไม่มีทั้งชอบ และไม่ชอบ  น่าจะเรียกว่าแบบนี้มากกว่า

คนเราเปลี่ยนวิธีคิด  พฤติกรรมมันก็จะเปลี่ยน  เพราะพฤติกรรมมันเป็นผลมาจากวิธีคิด


ขจัดความไม่รู้เกี่ยวกับความทุกข์ออกไปหมดมันก็หมด  ไม่รู้หมดไป มันก็รู้  แค่นั้นเอง

จะว่ายากมันก็ยาก  จะว่าง่ายมันก็ง่าย(เพียงแต่มันทิ่มแทงจิตใจปุถุชนคนเดินดินทั่วไปแบบสุดๆ)
แล้วก็ไม่มีข้อจำกัด บุรุษ และ สตรี ก็เหมือนๆกัน คนตาบอดหรือหูหนวกก็เหมือนๆกัน

เพียงแต่ว่าเขาไม่ให้ผู้หญิงบวชพระในตอนหลังเพราะกลัวว่ามันจะยุ่ง คุมกันลำบาก
แต่ความจริงแล้วก็เหมือนกัน


แหม ผมก็ว่าไปตามหลักการนะครับ  ไม่ได้เป็นคนธรรมะธรรมโม อะไรหรอก  555


อันนี้ชัดเจน ลองไปอ่านเล่นกันดูครับ  ของท่านเจ้าคุณเหมือนเดิม
http://rabob.tripod.com/tmk2.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 ม.ค. 2007, 01:05 น. โดย จิ้มจุ่มนาโน » บันทึกการเข้า

ในหมู่คนตาบอด คนตาบอดข้างเดียวได้เป็นราชา
ป.ล. คิดต่อนะครับว่า ถ้าต้องบวช นี่เป็นสาเหตุนึงใช่ไหมครับ
ที่ผู้หญิงจะไม่มีโอกาสไปถึงนิพพาน


น่าสนใจมากๆ อันนี้
สมัยก่อน โอเค ผู้หญิงเป็นเพียงตัวประกอบไม่มีบทพูดในประวัติศาสตร์
เขาเลยโฟกัสไปแต่ที่ผู้ชาย - แต่ในวันนี้ ผู้หญิงสามารถไปถึงนิพพานได้แล้วหรือยัง
(สมมติว่าตีความคำว่านิพพานไปทางอื่นที่ไมได้แปลว่าหลุดพ้นจากการเกิดก็ตามสบาย)
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 ... 162
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!