หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8 9 10 11 12 ... 162
 
ผู้เขียน หัวข้อ: โครงงานสอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า  (อ่าน 558479 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 ขาจร กำลังดูหัวข้อนี้

น่าสนใจมากๆ อันนี้
สมัยก่อน โอเค ผู้หญิงเป็นเพียงตัวประกอบไม่มีบทพูดในประวัติศาสตร์
เขาเลยโฟกัสไปแต่ที่ผู้ชาย - แต่ในวันนี้ ผู้หญิงสามารถไปถึงนิพพานได้แล้วหรือยัง
(สมมติว่าตีความคำว่านิพพานไปทางอื่นที่ไมได้แปลว่าหลุดพ้นจากการเกิดก็ตามสบาย)

ผมจะตอบในทัศนะของผม

เรื่องนี้ไม่ได้เห้นกันในชาติเดียวครับ   เข้าใจใช่มั้ยครับ  .....

เกิดเป็นหญิง เป็น ชาย เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็น สิ่งมีชีวิตบนสังสารวัฏนั้ ย่อมมีโอกาศบรรลุธรรมต่างกัน
 มากน้อย ยากง่าย แล้วแต่บุญกรรม ที่ทำกันมา สั่งสม จนถึงพร้อม ที่จะบรรลุธรรม...

 เหมือนที่พระพุทธเจ้า ก่อนที่จะทรงตรัสรู้ ท่านได้เสวยชาติมานับไม่ถ้วน.....สั่งสมกรรมดี มา
จนถึงพร้อม

สมัยพุทธกาล  ในช่วงพระพุทธเจ้าเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาด้วยตัวเอง.....ในสมัยนั้น
ถือว่าเป็นสมัยที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองถึงที่สุด ซึ่งไม่แปลกที่
จะมีเหล่าพุทธศาสนิกชนตบเท้าขึ้นธรรมเนียบ อรหันต์กันเยอะมาก ไม่เฉพาะแต่นักบวชเท่านั้น...

ปัจจุบัน เป็นช่วงที่ พุทธศาสนาดำเนินมาไกลมากนับ กว่า 2500 ปี  
พระธรรมคำสอน รวมถึงพุทธประวัติ ต่างๆ ก็ค่อย เลือนหาย บ้างก็ถูกบิดเบือนไป
ซึ่งอันนี้ ไม่มีใครรู้ชัดว่า มากน้อยแค่ไหน  พระไตรปิฎก ถูกชำระ ครั้งแล้วครั้งเล่า ........
แต่  ประเทศไทยถือว่าเป้นประเทศที่พุทธศานา แข็งแรงที่สุด แข็งซะจนศรีลังกา
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ใจกลางแห่งพุทธศานา ได้มาอัญเชิญพระไตยปิฎกจากไทยเลยทีเดียว....

ผมชื่อเหลือเกินว่า อรหันต์ ยังมีอยุ่ อย่างแน่นอน และเชื่อว่า โสดาบัน ที่เป็นคนธรรมดาอย่างเราก็มี
ซึ่งผมเห็นว่า พวกท่านเหล่านั้นไม่มีเหตุผลใดที่ต้องแสดงตน ...

การบิดเบือน  

      การบิดเบือน...มักไม่เกิดขึ้นในขั้นที่เรียกว่าทานศิล เราไม่สามารถรู้ได้โดยง่ายนักหรอกว่าบิดเบือนอย่างไร เพราะแท๊บจะลอกคำสอน ในพระไตปิฎกมาเป๊ะๆ
      ส่วนใหญ่ การบิดเบือน จะอยุ่ในขั้นภาวนา    ซึ่งอันนั้นมันละเอียดอ่อนมาก...

---------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 ม.ค. 2007, 02:24 น. โดย จักรี » บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
นี่ถ้าเราไม่สนใจว่าจะเป็นโสดาบันหรืออรหันต์อะไรนั่น
ซึ่งไกลตัวจากเราแน่ๆ ละก็นะ จะขอถามแบบกวนตีนหน่อยครับ

แสดงว่าชาตินี้ สังสารสัตว์ (ทำไมต้องใช้คำยากๆ ด้วย ง่ะ) ที่เกิดมาเป็นเพศเมีย
หรือเป็นสัตว์อื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ผู็มีใจประเสริฐ ก็อดบวชใช่ไหมครับ
ต้องรอคิวตีตั๋วไปชาติหน้า เผื่อเกิดมาเป็นมนุษย์เพศชายตามขนบก่อน
แล้วค่อยหาบันไดไปนิพพานอีกที
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
จริงๆแล้ว ผมก็ไม่ได้รุ้จริงขนาดชี้ชัดได้ว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น แต่ ผม เชื่อว่า เมื่อ ถึงพร้อมแล้วไม่ว่าจะอยุ๋ในสภาพไหนก็บรรลุได้ด้วยกันทั้งนั้นครับ  แต่ คน เนี่ยถือว่ามีโอกาศที่ดีที่สุดที่จะบรรลุได้
จริงๆผู้หญิงก็สามารถทำได้เช่นกันนะครับ ผมเชื่ออย่างนั้น......และสมณะเพศ อย่าง ชี พราห์ม ก้ยังมีนะ ....

บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
แล้วผู้ที่นับถือต่างศาสนาล่ะครับ
หมายความว่า นาย A เป็นคนดีสุดยอดม้อดดี้
แต่เกิดที่ประเทศเปรู และไม่รู้จักพระพุทธเจ้า
นาย A จะสามารถบรรลุมั่งได้หรือไม่ (ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป)

ย้ำว่านาย A เป็นคนดีมาก สุดยอดม้อดดี้
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
ทัศนะส่วนตัว........
ตามความคิดของผม นะครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมไม่อยาก พูดถึงศาสนาอื่นอ่ะนะ

แต่ขอพูดนิดนึง ว่า จุดมุ่งหมายมันคนละอย่างกัน สมมติ ว่าศาสนา AA เป้นศาสนา ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการ
ไปเป็นอยุ่บนสวรรค์   ศาสนา BB ก็เหมือนกันเพื่อ ให้ไปอยุ่สวรรค์อีกชั้นหนึ่ง อะไรก็ว่าไป ศาสนาพุทธไม่
ต้องการเกิดอีก ไม่ว่าจะเกิดเป้นเทวดา เป้น เทพ อะไรต่างๆ คือต้องการให้หลุดพ้น...


  อยุ่ที่ว่านาย A นับถือและปฏิบัติตน ตามหลักของศาสนาไหน  ซึ่งเรื่องบรรลุหรือไม่นั้น ผมไม่รุ้ว่าอาการ
บรรลุ ของศาสนานั้นๆมันจะเป็นเช่นไร การเป้นคนดี อาจจะไม่พอสำหรับการก้าวข้ามไปยังจุดสูงสุดของ
หลักศาสนาหรือเปล่า....

แต่ยังยืนยัน ว่า เมื่อถึงพร้อม แล้ว ใครก็สามารถบรรลุได้เช่นกัน  ถ้าพูดถึงเรื่องชาติภพ กรรมเวร แล้วเดี๋ยว
จะกลายเป้นว่า ผมมีความคิดเห็นเข้าข้าง พุทธศานา....ซึ่งการถึงพร้อม ในความคิดผม ในหลักพุทธศานา
แล้วคือ การ สั่งสมบุญบารมี ก่อกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว และชดใช้กรรมชั่วที่เคยสร้างไว้ ในภพชาติต่างๆ
แล้ว......ซึ่งแน่นอนไม่สามารถเป็นไปได้ในชาติภพเดียว บางที่อาจจะหลายชาติหลายภพเลยก็ได้กว่าจะ
ถึงพร้อม อย่างนั้น....
พอเกิดมาชาติ ที่อะไรๆชดใช้และบำเพ็ญเพียรหรืออะไรต่ออะไรที่ดีงามมาได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเกิด
เป็นเรื่องที่ผมเรียกว่าผลกรรมและการสั่งสมคุณความดี รวมถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะพาเราเข้าใกล้การปฏิบัติตน ทุกสิ่งทุกอย่างจะเอื้อ ต่อการบรรลุ
ที่นี้ก็อยุ่ที่ตัวเรา  บางคนทำกรรมดีมาหลายชาติหลายภพ ไม่ก่อกรรมชั่วเลย แถมต้องชดใช้กรรมที่ตน
เคยก่อไว้จนหมด ชาติต่อจากนี้ ก็จะถึงเวลาแห่งการปฏิบัติ และชาติต่อไปก็จะเอื้อต่อการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป
จนกว่าจะบรรลุ
ซึ่งผมคิดว่าแต่ละศาสนาย่อมมีทางของตัวเอง....
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
ตอบละเอียดดีนะครับ.....
บันทึกการเข้า

I ROCK , THEREFORE I AM
ขอยกคำพูดของคุณดังตฤณ
เจ้าของหนังสือหลายเล่ม ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
เค้ากล่าวไว้ว่า

"ยุคเราลำบากกว่าพุทธกาลหน่อยหนึ่ง
ตรงที่ไม่มีพระพุทธเจ้าแบบเป็นตัวบุคคลมาชี้ถูกชี้ผิด
หรือระบุตรงๆว่าใครปฏิบัติมาถึงไหน
ควรจะพัฒนาให้ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
แม้พระศาสดาจะตรัสสั่งเสียให้คำสอนของพระองค์เป็นตัวแทนสืบไป
ก็หาชาวพุทธได้น้อยนักที่จะอ่านคำสอนดั้งเดิมของท่านอย่างทั่วถึงด้วยความเคารพ
แถมอ่านคัมภีร์เล่มเดียวกันก็อาจตีความแตกต่างกัน คิดเห็นไม่ลงรอยกัน

เมื่อการสืบทอดพุทธศาสนาผ่านไป 2500 ปีเศษ
ปัจจุบันมีเกณฑ์การวัดความคืบหน้าแตกแยกไปมากมายหลายหลาก
เช่นบางกลุ่มเชื่อในเรื่องของสีแสง
บางกลุ่มเชื่อในเรื่องของนิมิตแบบต่างๆ
บางกลุ่มเชื่อในความหยั่งรู้รูปนามเป็นขั้นเป็นลำดับตายตัว "



ป.ล. ส่วนตัวผมเองคิดว่าอุปสรรคอันใหญ่หลวงคือ
พระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี แต่เราเป็นคนไทย
ถ้าเราไม่เข้าใจบาลี ก็ไม่สามารถเอาพระไตรปิฎก
มาอ้างอิงได้เวลาที่ปฎิบัติแล้วเกิดติดขัด
ก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์อีกที

ผมสงสัยว่า แล้วพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย
มีหรือเปล่าครับ แล้วนำมาใช้อ้างอิงได้หรือเปล่า
ถ้าไม่ได้ ทำไมไม่สังคายนาให้เป็นภาษาไทย




บันทึกการเข้า
เยี่ยมเลยครับ ถกกันถึงนิพพาน

ผมเคยอ่านหนังสือ ความว่าง ของท่านพุทธทาส
คล้ายในนั้นจะมีบทหนึ่ง ว่าด้วยการ ตกกะไดพลอยโจร
คือเมื่อรู้ตัวว่าจะตายแล้วเรารู้ตัว และจิตเราว่างจริงๆ
(ไม่มีแวบ คิดถึงลูกเต้า เมียขวัญ ลิเวอร์พูล แมนยูฯ อะไรพันนี้)
ก็นิพพานได้เหมือนกัน

ผมอ่านมาเกิน 20 ปีแล้ว
ถ้าจำเพี้ยนไป คงไม่แปลก
ถ้ามีหนังสือเล่มนั้นมาอ้างได้จะดูน่าเชื่อถือ
พยายามหาอยู่ครับ

ผมจำกลอนได้ บทนึงด้วย

จงทำงานทุกชนิด ด้วยจิตว่าง
ยกผลงานให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น
กินอาหารด้วยความว่าง อย่างพระกิน
ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัว แต่หัวที

//หัวที (ถิ่นใต้) คือ ก่อน หรือ แรกเริ่ม
บันทึกการเข้า

เจ๋ง


แสดงว่า นิพพาน (ของพุทธ) หรือไปสวรรค์ (ของศาสนาอื่นๆ เป็นอาทิ)
ก็อาจจะเป็นเพียง "สัญลักษณ์" ที่เหมือนเป็นเส้นชัยของการทำดีเฉยๆ
นั่นคือ เขียนไว้งั้นๆ ให้คนที่อุตส่าห์มาถึงขนาดนี้แล้ว ได้มีอะไรไว้จับเป็นธงชัย
(เชื่อว่าถ้าคนไปถึงตรงนั้นแล้วคงไม่ได้อะไรกับพระเจ้าหรือนิพพานหรอก เขาปล่อยทิ้งไปตั้งกะโสดาบันแล้ว)



ทั้งนี้มองในมุมของคนที่ไม่เชื่อเรื่องชาติภพครับ และงวดนี้ไม่ได้กวนตีน
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
เจ๋ง


แสดงว่า นิพพาน (ของพุทธ) หรือไปสวรรค์ (ของศาสนาอื่นๆ เป็นอาทิ)
ก็อาจจะเป็นเพียง "สัญลักษณ์" ที่เหมือนเป็นเส้นชัยของการทำดีเฉยๆ
นั่นคือ เขียนไว้งั้นๆ ให้คนที่อุตส่าห์มาถึงขนาดนี้แล้ว ได้มีอะไรไว้จับเป็นธงชัย
(เชื่อว่าถ้าคนไปถึงตรงนั้นแล้วคงไม่ได้อะไรกับพระเจ้าหรือนิพพานหรอก เขาปล่อยทิ้งไปตั้งกะโสดาบันแล้ว)



ทั้งนี้มองในมุมของคนที่ไม่เชื่อเรื่องชาติภพครับ และงวดนี้ไม่ได้กวนตีน

อันนี้ผมไม่เห็นด้วยแฮะ
นิพพานไม่ใช่"สัญลักษณ์"  แน่ๆ

บันทึกการเข้า
อืมม์ ถกกันเรื่องนิพพาน นึกขึ้นมาได้เลย

อาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ เคยบอกไว้เหมือนกันว่า
ลำพังศีลห้า ยังถือไม่ได้ครบทุกวัน
การที่จะมาเถียงกันว่า นิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เสียเวลาเปล่า  ไหว้


บันทึกการเข้า
ไม่เสียเวลาเปล่าหรอกครับ ลองดู
 ยิ้มน่ารัก
.......................................

    นิพพาน ตามความหมายของท่านพุทธทาสภิกขุ ในหัวข้อเรื่อง หลักธรรมสําคัญในพุทธศาสนา หน้า๑๘๔ ท่านได้ให้ความหมายที่กระจ่างชัดถูกต้องดีงาม  ซึ่งตรงกับความเห็นความเข้าใจของผู้เขียน  จึงขออาราธนานำมาแสดงเป็นปฐมบทไว้ดังนี้

        "นิพพาน  หมายถึง เย็นหรือดับลง  เย็นเหมือนไฟที่เย็นลง  หรือของร้อนๆอะไรก็ตามมันเย็นลง  นั่นแหละคืออาการที่นิพพานล่ะ......
เพราะฉนั้นคําว่านิพพานนั้นที่เป็นภาษาชาวบ้านแท้ๆ  มันหมายถึงของที่ร้อนให้เย็นลงเท่านั้น  แต่แล้วเราจะหมายความเพียงเท่านั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นเรื่องของวัตถุ  ส่วนนิพพานในเรื่องของธรรมะหรือทางศาสนามันหมายถึง เย็นลงแห่งไฟกิเลส ไฟกิเลสคือ ราคะ โทสะ โมหะ จนเย็นสนิท จึงจะเรียกว่านิพพาน."

        ดังนั้นก่อนอื่นจึงควรทำความเข้าใจในพระนิพพานอย่างถูกต้องดีงามเสียก่อนว่า เป็นสภาวะที่ดับกิเลสหรือกองทุกข์ หรือกล่าวเน้นลงไปได้ว่า สภาวะที่ปราศจากอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลน
อันเกิดขึ้นเนื่องแต่อาสวะกิเลส,ตัณหา,อุปาทานนั่นเอง 
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุข สงบ สงัด อันบริสุทธิ์ยิ่ง    ส่วนอื่นๆเป็นเพียงผลข้างเคียงอันพึงบังเกิดขึ้นเท่านั้น

ตามกฎพระไตรลักษณ์ จากพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า

"สังขารทั้งปวง        ไม่เที่ยง          ( อนิจจตา )

   สังขารทั้งปวง        เป็นทุกข์         ( ทุกขตา )   

          ธรรมทั้งปวง         เป็นอนัตตา"    ( อนัตตตา )   
   

        สังขาร สิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง ในไตรลักษณ์จึงหมายรวมถึงทุกสรรพสิ่ง ทั้งรูปธรรม, นามธรรม, กุศลธรรม, อกุศลธรรม, ทั้งโลกียธรรม และโลกุตรธรรม ขันธ์๕ ฯลฯ. อันล้วนแต่เกิดแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ยกเว้นเพียง สภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติ ดังมี "นิพพาน" อันเป็น"สภาวธรรม"อย่างหนึ่งที่เรียกว่าเป็น อสังขตธรรม คือสิ่งที่ไม่มีปัจจัยไปปรุงแต่ง, หรือสิ่งที่มิได้เกิดแต่เหตุปัจจัยใดๆนั่นเอง หรือก็คือ สภาวธรรมชาติ ทั้งหลายนั่นเอง

        ธรรมในพระไตรลักษณ์หมายถึงสภาวธรรมหรือธรรมชาติอันครอบคลุมทุกสรรพสิ่งอันย่อมหมายรวม พระนิพพาน ด้วย ดังกล่าวข้างต้น

ขยายความพระไตรลักษณ์ เพื่อความเข้าใจในพระนิพพาน

        ๑. อนิจจตา ความไม่เที่ยง แปรปรวน ผันแปร ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดแล้วต้องเสื่อมหรือแปรปรวนไป

        ดังนั้นสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง จึงหมายถึง สังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอันล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงล้วนไม่เที่ยง มีการผันแปร ปรวนแปรเป็นอาการธรรมดาไปตามเหตุปัจจัยที่มาประชุมรวมกันนั้น ไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้อย่างแท้จริง  การควบคุมบังคับได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ถือว่าควบคุมบังคับได้อย่างแท้จริง

        ๒. ทุกขตา ความทนอยู่ไม่ได้ เป็นสภาวะที่สุดของการแปรปรวน กล่าวคือ ต้องสลายตัวดับไปเป็นที่สุด, เป็นภาวะที่เกิดจากการถูกบีบคั้นจํายอมจากสภาวะของอนิจจตาที่แปรปรวนเป็นธรรมดาอยู่ตลอดเวลาที่เกิดขึ้น  มองไม่ออกให้พิจารณาอะตอมที่มีอิเลคตรอนวิ่งรอบๆอย่างแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา จนดับไปเป็นที่สุด

       อันเนื่องจากเกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆหลากหลายมาประชุมกัน  แต่ก็ไม่ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริงนั่นเอง จึงมีความไม่สมบูรณ์แอบแฝงอยู่ จึงต้องแปรปวน และจนดับไปเช่นนี้เป็นธรรมดา   เป็นสภาวธรรมหรือกฎธรรมชาติหรืออสังขตธรรม อันมีความเที่ยงและคงทนต่อทุกกาล(อย่าสับสนกับสังขาร ที่ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้)

        ความแปรปรวนและการดับไปเหล่านั้น จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นอุปาทานทุกข์แก่ผู้เข้าไปอยากด้วยตัณหา จึงไปยึดด้วยอุปาทานตามความพึงพอใจของตัวของตน

        ดังนั้น สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ จึงหมายถึง สังขารหรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง หรือมีการปรุงแต่งขึ้น  อันล้วนเกิดแต่เหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน จึงไม่เที่ยง จึงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปในที่สุด ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างแท้จริง,  สังขารทั้งหลายจึงเป็นทุกข์ถ้าไปอยากหรือไปยึดเพราะไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ตามใจปรารถนาอย่างแท้จริง

        ๓. อนัตตตา ธรรม หรือสภาวธรรม หรือสภาวธรรมชาติทั้งหลายล้วนไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นแก่นแกนถาวรอย่างแท้จริง  จึงหมายครอบคลุมถึงสังขารทั้งหลายทั้งปวงด้วย เพราะในบางขณะนั้นถึงจะมีตัวตนก็จริงอยู่ แต่ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยอันไม่เที่ยงมาประชุมกันชั่วขณะระยะหนึ่งเท่านั้น  จึงย่อมต้องแปรปรวนจนคงอยู่ไม่ได้ตลอดไป  ดังเพราะว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย  ดังนั้นจึงต้องแปรปรวนและดับไปตามเหล่าเหตุปัจจัยนั้น  ตัวตนที่ถึงแม้มีอยู่ขณะนั้นก็จริงอยู่จึงต้องดับไปในที่สุด  ไม่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริงถาวรตลอดไป

        ดังนั้นธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตตา จึงหมายถึง ธรรมหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงซึ่งหมายครอบคลุมทุกๆสรรพสิ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น
ว่าโดยตามความจริงขั้นสูงสุดแล้ว(ปรมัตถ์) ไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นแก่นแท้ๆ ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย,   นิพพานหรือสภาวธรรมชาติทั้งหลายอันเป็นอสังขตธรรม ที่ไม่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง แต่ก็ล้วนเป็นอนัตตาเป็นเพียงสภาวธรรม(อ่านรายละเอียดในอนัตตา ที่แจงสภาพทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน),   เมื่อเหตุปัจจัยดับ ธรรม(สิ่ง)นั้นก็ดับ, ดังนั้นจึงมีตัวตนขณะมีเหตุปัจจัย  หรือไม่มีตัวตนเมื่อเหตุปัจจัยดับ  หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่ามีตัวตนอยู่แค่ชั่วขณะระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  ขึ้นอยู่กับพิจารณาในมุมมองขณะใด แต่ที่สุดเมื่อเหตุปัจจัยดับ ธรรมหรือสิ่งนั้นก็ต้องดับไปด้วย  ท่านจึงกล่าวว่าไม่มีแก่นสารหรือไม่มีแก่นแกนแท้ๆ  จึงไม่มีค่าให้ไปยึดไปอยาก กล่าวคือเพราะไม่สามารถคงทนอยู่ได้อย่างถาวรแท้จริง ไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้อย่างแท้จริง จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้นเป็นที่สุด

        ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา จึงหมายครอบคลุมถึงทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลล้วนเป็นอนัตตาโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น


        "พระนิพพาน" เป็นอสังขตธรรมหรือสภาวธรรมชาติเท่านั้น จึงไม่เป็นอนิจจตาและไม่เป็นทุกขตา(เพราะท่านหมายเฉพาะสังขาร) แต่เป็นอนัตตา(เพราะเป็นธรรมอย่างหนึ่งหรือสภาวธรรมอย่างหนึ่ง),  และมีการกล่าวไว้อย่างชัดเจนดังคํากล่าวที่ได้ยินกันเสมอๆว่า

นิพพานเป็นอนัตตา


        นิพพาน ก็คือ สภาวะนิโรธ ที่แปลว่าการดับทุกข์  คือสภาวะที่ไม่คับแค้น ไม่ข้องขัดใจ  หรือสภาพที่ไม่เร่าร้อน เผาลน กระวนกระวาย อันล้วนเนื่องมาจากไฟของ โมหะ โลภะ โทสะ  หรือถ้าพิจารณาในแนวทางปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ไม่เร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของ กิเลส(อาสวะกิเลส) ตัณหา อุปาทาน อันยังให้เกิดอุปาทานขันธ์๕ในชรา  อันเป็นอุปาทานทุกข์หรือความทุกข์ที่แท้จริงชนิดที่สามารถดับได้ด้วยธรรมของพระองค์ท่านนั่นเอง

        จากที่กล่าวว่า นิพพานเป็นธรรมชนิดอสังขตธรรมหรือสภาวธรรม(ธรรมชาติ)อันจริง แท้ แน่นอน, ถ้าไม่โยนิโสมนสิการโดยละเอียดและแยบคาย มักจะยังความสงสัยหรือวิจิกิจฉาในที่สุดว่า สภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติอื่นๆ ดังเช่น ฝนตก ฟ้าร้อง พระอาทิตย์ขึ้นและตก แม้แต่ธรรมะ ฯลฯ. ก็ไม่ล้วนเป็นดั่งเช่นนิพพานหรือ? คือไม่เป็นอนิจจังและทุกขังดังเช่นนิพพาน?  เพราะต่างก็ล้วนเป็นสภาวธรรมชาติอันจริง แท้ แน่นอนทั้งนั้น!    ความจริงแล้วอสังขตธรรมหรือธรรมชาติเหล่านั้นก็ล้วนเป็นอนัตตาเช่นกัน  กล่าวคือปรากฏการณ์เหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่เช่นนี้ตลอกกาลนาน   ส่วนสังขาร(สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น)ของธรรมชาติทั้งหลายเหล่านั้น อันเกิดขึ้นล้วนแต่จากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัยอยู่นั่นเอง จึงยังมีการเกิดๆดับๆคือไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องดับไปอยู่ตลอดเวลา  ลองพิจารณาพระอาทิตย์ขึ้น  ฝนตก ลมพัด แม้แต่ธรรมคําสอนทั้งหลายทั้งปวง กล่าวคือสภาวธรรมทั้งหลายนั้นแม้ยังคงมีความจริง แท้ แน่นอน  แต่ก็คงล้วนเป็นอนัตตาไม่มีตัวไม่มีตน ที่หมายถึง ไม่เป็นแก่นแกนแท้จริง เป็นเพียงสภาวธรรมหรือสภาวะแห่งธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาตินั่นเอง   แต่เมื่อปรากฎขึ้นเป็นตัวเป็นตนของสังขาร คือการเกิดของสังขารของสภาวธรรมที่กล่าวถึงนั้น หมายถึงเมื่อเป็นสังขารสิ่งปรุงแต่งแล้ว ดังเช่น ฝนที่กำลังตกลงมาเป็นเม็ดฝนให้สัมผัสได้นั้น  จะเห็นว่าเกิดแต่เหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน  เช่น  นํ้า ความร้อนจากดวงอาทิตย์ การระเหย  การรวมตัว  อุณภูมิที่แตกต่างกัน  การกลั่น  แรงดึงดูดของโลก ฯลฯ. ที่เกิดขึ้นต่างๆเหล่านั้นมาเป็นปัจจัยกัน  อันเมื่อเกิดเป็นปรากฎเป็นตัวตน จึงเป็นสังขารขึ้น   จึงยังคงต้องมีการเกิดๆดับๆเป็น อนิจจัง ทุกขัง,  ลองโยนิโสมนสิการที่จุดนี้ เพราะยากแก่การเข้าใจ ยากต่อการบรรยายเป็นคำพูดภาษาสมมุติใดๆ  พระอนัตตาจึงเป็นปัญหาที่ถกเถียงและเข้าใจได้ยากกันมาโดยตลอด
บันทึกการเข้า

ขอเบิ้ล
.............................................

นิพพาน
จุดหมายปลายทางของชีวิต

คำนำ
เรื่องพระนิพพาน มิใช่เป็นเรื่องที่พูดให้จบหรือให้เข้าใจกันได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ, เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาจะต้องอ่านทบทวนไปมา และทำการศึกษาคิดค้น ตีความและเทียบเคียง หยั่งให้ถึงความหมายของศัพท์ และประโยคไปโดยลำดับจริงๆ ไม่อ่านอย่างสะเพร่าลวกๆ หรือข้ามไปทั้งที่ไม่เข้าใจ, จึงจะมีความรู้จักตัวพระนิพพานชัดเจนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับๆ จนกว่าจะลุถึงได้จริงๆ ด้วยการ ปฏิบัติธรรม ทางใจ, ต่อไปนี้เป็นแนวการคิดค้นหาความเข้าใจ หรือคุณค่าของพระนิพพาน เพื่อก่อให้เกิดฉันทะในการบรรลุพระนิพพานแรงกล้ายิ่งขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย.

พระนิพพานไม่ใช่เป็นจิต, ไม่ใช่เป็นเจตสิกหรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต โดยอาศัยจิตนั้น, ไม่ใช่มีรูปร่าง, เป็นก้อน เป็นตัว อันเป็นประเภทรูปธรรม, ไม่ใช่บ้านเมือง ไม่ใช่ดวงดาว หรือดวงโลกในโลกใดโลกหนึ่ง, และยิ่งกว่านั้น พระนิพพานไม่ใช่สิ่งที่มีความเกิดขึ้นมา, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, แต่พระนิพพานเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติชนิดหนึ่ง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่ต้องตั้งต้นการมีของตนขึ้นเหมือนสิ่งอื่นๆ แต่ก็มีอยู่ได้ตลอดไป และไม่รู้จักดับสูญ เพราะไม่มีเวลาดับหรือแม้แต่แปรปรวน.

สิ่งทั้งหลายอื่นซึ่งมีอยู่ นอกจากพระนิพพานแล้ว; แรกที่สุด มันต้องมีการเกิดขึ้น มันจึงจะมีอยู่ได้ และต้องดับไปในที่สุด แม้จะช้านานสักเพียงไรก็ตาม และยังต้องแปรไปๆ ในท่ามกลางด้วย, เพราะสิ่งนั้นมันมีการเกิดขึ้น. แม้ที่สุดแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีอยู่นานก่อนสิ่งใดในสากลจักรวาล มันจะต้องกลายเป็นไม่มีสักวันหนึ่ง และเราจะไม่ได้เห็นมันในเวลาเช้า และลับหายจากสายตาไปในเวลาเย็น เช่น เดี๋ยวนี้, แม้ ดิน น้ำ ไฟ หรือความร้อน ลม หรืออากาศ ก็เช่นกัน จักต้องถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งมันจะไม่มีอยู่, เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการเกิดขึ้นมา และเกิดขึ้นได้เป็นขึ้นได้โดยต้องอาศัยสิ่งอื่น.

ส่วนสิ่งที่เรียกว่า พระนิพพาน ไม่เป็นเช่นนั้น; ไม่มีการเกิดขึ้น ทำไมจะต้องมีการอาศัยสิ่งอื่น, เมื่อตัวเองมีของตัวเองได้ มันจึงไม่รู้จักดับ, และจะมีอยู่ตลอดไปโดยไม่มีที่สุดหรือเบื้องต้น และเหตุนี้เอง พระนิพพานจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกล่าวได้อย่างมีเหตุผลเลยว่า พระนิพพานนั้นเป็นอดีต, อนาคต หรือเป็นปัจจุบัน ได้เลย, ทั้งนี้เพราะความมีอยู่แห่งพระนิพพานนั้น แปลกกับความมีอยู่ของสิ่งอื่น อย่างสุดที่จะกำหนดมากล่าวได้. พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล อันไม่มีที่สุด, มีเป็นของคู่เคียงกับกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุด, แต่หากว่ากาลหรือเวลาจะเป็นสิ่งที่สิ้นสุดลงในวันหนึ่งได้ พระนิพพานก็ยังหาเป็นเช่นนั้นไม่.

พระนิพพาน เป็นสิ่งที่เปิดโอกาสเตรียมพร้อมอยู่เสมอ สำหรับที่จะพบกันเข้ากับดวงจิตของคนเราทุกๆ คน. หากแต่ว่า ดวงจิตของเราตามธรรมดา มีอะไรบางอย่างเข้าเคลือบหุ้มเสียก่อน ไม่เปิดโอกาสให้พบกันได้กับพระนิพพานเท่านั้น, พระนิพพานจึงไม่ปรากฏแก่เราว่ามีอยู่ที่ไหน ทั้งที่พระนิพพานอาจเข้าไปมีได้ในที่ทั่วไป ยิ่งเสียกว่าอากาศ ซึ่งเรากล่าวกันว่ามีทั่วไปเสียอีก. เมื่อเราไม่อาจกำหนด หรือเคยพบกับพระนิพพาน ก็เลยคิดไปว่า พระนิพพานไม่ได้มีอยู่ดังที่ท่านกล่าว เข้าใจว่าเป็นการกล่าวอย่างเล่นสำนวนสนุกๆ ไป. คนตาบอดมาแต่กำเนิดย่อมไม่รู้เรื่องแสงสว่าง หรือสีขาว แดง ทั้งที่มันมีอยู่รอบตัว หรือถึงตัวฉันใด, ผู้บอดด้วยอวิชชาซึ่งห่อหุ้มดวงจิต ก็ไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ไม่อาจคาดคะเน พระนิพพานฉันนั้น, จนกว่าเขาจะหายบอด.

เราเกิดโผล่ออกมาจากท้องแม่สู่โลกนี้ บอดเหมือนกันหมดทุกคน จึงไม่อาจรู้เรื่องพระนิพพานได้ตั้งแต่แรกเกิด. ยิ่งผู้ที่มีตาเนื้อ ตาเนื้อก็บอดเสียอีกด้วยแล้ว ไม่อาจรู้จักแสง หรือสี ก็ยิ่งร้ายไปกว่านั้น. บอดตาไม่อาจรักษาได้ แต่บอดใจหรือบอดต่อพระนิพพานนั้นรักษาได้. ผู้ที่ตาบอด แต่ถ้าเขาหายบอดใจ เขาก็ประเสริฐกว่าผู้ที่แม้ไม่บอดตา แต่บอดใจ. นี่เราจะเห็นได้ชัดๆ ว่าแสงแห่งพระนิพพานส่องเข้าไปถึงได้ในที่ที่แสงสว่างในโลกส่องเข้าไปไม่ถึง. ดวงจิตของคนตาบอดอาจพบกับพระนิพพานได้ไม่ยากไปกว่าของคนตาดีๆ. แต่ว่าทุกๆ คนที่ตาของเขายังเห็นแสงและสีได้ ก็ไม่ยอมเชื่อหรือสำนึกว่า ตาของตนบอด, ตาข้างนอกของเขาแย่งเวลาทำงานเสียหมด ตาข้างในจึงไม่มีโอกาสทำงาน แม้ที่สุดแต่จะรู้สึกว่าตาข้างในของฉันยังบอดอยู่ก็ทั้งยาก, และยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปว่ามีตาข้างในอยู่อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นดวงสำคัญที่สุดด้วย.

เมื่อเขาแก้ปัญหาชีวิตอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นวิสัยส่วนของตานอกได้หมดจนสิ้นเชิง เขาก็ยังต้องพบกับความยุ่งยากอยู่อีก และเขาไม่ทราบว่า นั่นมันเป็นวิสัยส่วนของตาใน, ก็แก้ไขมันไม่ได้, ทำให้ว้าวุ่นไป โทษนั่น โทษนี่ เดาอย่างนั้น เดาอย่างนี้ ก็ไม่อาจพบกับความสุขอันแท้จริงเข้าได้เลย. นี่ ! จะเห็นได้แล้วว่า เพราะแก้มันไม่ถูก คือไม่ได้ใช้ตาในแก้, ที่ไม่ใช้เพราะตาในยังบอด, ที่ยังบอดเพราะยังไม่ได้รักษา. ที่ยังไม่ได้รักษา ก็เพราะตนยังไม่รู้เลยว่า ตาในมีอีกดวงหนึ่ง, เป็นตาสำหรับพระนิพพาน คือความสุขอันเยือกเย็นแท้จริงของชีวิต.

ใจของเราบอดเพราะอวิชชา คือความโง่หลงยิ่งกว่าโง่หลงของเราเอง นั่นเอง. เปรียบเหมือนเปลือกฟองไข่ที่หุ้มตัวลูกไก่ในไข่ไว้, เหมือนกะลามะพร้าวที่ครอบสัตว์ตัวน้อยๆ ซึ่งเกิดภายใต้กะลานั้นไว้, ฯลฯ, เหมือนเปลือกแข็งของเมล็ดพืช ซึ่งหุ้มเยื่อสารในสำหรับงอกของเมล็ดไว้, แม้แสงสว่างมีอยู่ทั่วไป มันก็ไม่อาจส่องเข้าไปถึงสิ่งนั้น, จิตที่ถูกอวิชชาเป็นฝ้าห่อหุ้ม ก็ไม่อาจสัมผัสกับพระนิพพานอันมีแทรกอยู่อย่างละเอียดยิ่งกว่าละเอียดในที่ทั่วไป  ตลอดถึงที่ที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง ฉันใดก็ฉันนั้น.

เมื่อใดเปลือกฟองไข่ กะลามะพร้าว เปลือกแข็งนั้นๆ ได้ถูกเพิกออก หรือทำลายลง. แสงสว่างก็เข้าถึงทั้งที่ไม่ต้องมีใครขอร้อง อ้อนวอน หรือขู่เข็ญบังคับมันเลย, นี่ฉันใด. เมื่อฝ้าของใจกล่าวคือ อวิชชา อุปาทาน ตัณหา อันเป็นฝ้าทั้งหนาและบาง ทั้งชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ถูกลอกออกแล้วด้วย "การปฏิบัติธรรม" แสงและรสแห่งพระนิพพานก็เข้าสัมผัสกันได้กับจิตนั่น เมื่อนั้น ฉะนั้น. เราจึงเห็นได้ชัดเจน, เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งทันทีว่า พระนิพพานไม่ใช่จิต, ไม่ใช่เจตสิกอันเกิดอยู่กับจิต, ไม่ใช่รูปธรรม, ไม่ใช่โลกบ้านเมือง, ไม่ใช่ดวงดาว. ไม่ใช่อยู่ในเรา, ไม่ใช่เกิดจากเรา, ไม่ใช่อะไรปรุงขึ้น ทำขึ้น. มันเป็นเพียงสิ่งที่เข้าสัมผัสดวงใจเรา ในเมื่อเราได้ดำเนินการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุด เป็นการเปิดโอกาสให้แก่พระนิพพานได้เท่านั้น.

คัดจาก หนังสือ ชุมนุมเรื่องสั้น พุทธทาสภิกขุ  พิมพ์ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ 
บันทึกการเข้า

อ้อ ยากต่อการอธิบายเป็นภาษามนุษย์นี่เอง
ถึงว่าสิครับ ผมอ่านไม่รู้เรื่องเลยจนมาถึงบรรทัดสุดท้ายของโพสต์บน
บันทึกการเข้า

ทำมาหากินด้วยการเปิดร้านสกรีนเสื้อยืด จ้ะ
อืมม์ ถกกันเรื่องนิพพาน นึกขึ้นมาได้เลย

อาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ เคยบอกไว้เหมือนกันว่า
ลำพังศีลห้า ยังถือไม่ได้ครบทุกวัน
การที่จะมาเถียงกันว่า นิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เสียเวลาเปล่า ไหว้


ด้วยความเคารพ พี่ๆทุกคนครับ

        เราถกกันครั้งนี้ต่าง เกิดจากความคิดเห็นส่วนตัว ทัศนะที่เกี่ยวข้อง ผมเปิดใจ ที่จะรับรุ้ความรู้ใหม่ๆ
จากทุกท่าน และ ผมก็เห็นว่ามันเป็นการดี ที่ เราจะได้มาแลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกัน แม้เราจะไม่รู้เลยว่า
ทุกอย่างที่โพสต์ออกไปมันจะถูกผิดมากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรืออาจมีแต่มันไม่มีประโยชน์
ที่คนรุ้ จะออกมาโต้ หรือแสดงความคิดเห็น ต่างๆ นั่นก็เป็นเพราะ ว่าเขาอาจละแล้ว ซึ่งทุกสิ่งก็เป็นได้
เพราะเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องที่รุ้ได้เฉพาะตนจริงๆ

ดังนั้น ถ้าหากมันไม่ผิดจาก พื้นฐานที่ควรรู้ และสิ่งที่ไม่รู้ แล้วอยากรุ้  ผมก็เห็นสมควรที่จะให้มีการแสดง
ความคิดเห็นได้ เพราะมันอาจจะเป็นเหตุให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาให้รุ้จริงต่อไป ครับ....
บันทึกการเข้า

ล้ำลึกคนึงหาในดวงจิต ใจเคยคิดตัดสวาทมิอาจสิ้น
ดั่งก้านบัวหักกลางชลาสินธุ์ ผิว่าสิ้นไร้เยื่อยังเหลือใย
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8 9 10 11 12 ... 162
 
 
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2007, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!