ไม่เสียเวลาเปล่าหรอกครับ ลองดู
.......................................
นิพพาน ตามความหมายของท่านพุทธทาสภิกขุ ในหัวข้อเรื่อง
หลักธรรมสําคัญในพุทธศาสนา หน้า๑๘๔ ท่านได้ให้ความหมายที่กระจ่างชัดถูกต้องดีงาม ซึ่งตรงกับความเห็นความเข้าใจของผู้เขียน จึงขออาราธนานำมาแสดงเป็นปฐมบทไว้ดังนี้
"นิพพาน หมายถึง เย็นหรือดับลง เย็นเหมือนไฟที่เย็นลง หรือของร้อนๆอะไรก็ตามมันเย็นลง นั่นแหละคืออาการที่นิพพานล่ะ......
เพราะฉนั้นคําว่านิพพานนั้นที่เป็นภาษาชาวบ้านแท้ๆ
มันหมายถึงของที่ร้อนให้เย็นลงเท่านั้น แต่แล้วเราจะหมายความเพียงเท่านั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นเรื่องของวัตถุ
ส่วนนิพพานในเรื่องของธรรมะหรือทางศาสนามันหมายถึง เย็นลงแห่งไฟกิเลส ไฟกิเลสคือ ราคะ โทสะ โมหะ จนเย็นสนิท จึงจะเรียกว่านิพพาน." ดังนั้นก่อนอื่นจึงควรทำความเข้าใจในพระนิพพานอย่างถูกต้องดีงามเสียก่อนว่า เป็นสภาวะที่ดับกิเลสหรือกองทุกข์ หรือกล่าวเน้นลงไปได้ว่า สภาวะที่ปราศจากอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลน
อันเกิดขึ้นเนื่องแต่อาสวะกิเลส,ตัณหา,อุปาทานนั่นเอง
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุข สงบ สงัด อันบริสุทธิ์ยิ่ง ส่วนอื่นๆเป็นเพียงผลข้างเคียงอันพึงบังเกิดขึ้นเท่านั้น
ตามกฎพระไตรลักษณ์ จากพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า
"สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง ( อนิจจตา )
สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ ( ทุกขตา )
ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา" ( อนัตตตา ) สังขาร สิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง ในไตรลักษณ์จึงหมายรวมถึงทุกสรรพสิ่ง ทั้งรูปธรรม, นามธรรม, กุศลธรรม, อกุศลธรรม, ทั้งโลกียธรรม และโลกุตรธรรม ขันธ์๕ ฯลฯ. อันล้วนแต่เกิดแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ยกเว้นเพียง สภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติ ดังมี "นิพพาน" อันเป็น"สภาวธรรม"อย่างหนึ่งที่เรียกว่าเป็น อสังขตธรรม คือสิ่งที่ไม่มีปัจจัยไปปรุงแต่ง, หรือสิ่งที่มิได้เกิดแต่เหตุปัจจัยใดๆนั่นเอง หรือก็คือ สภาวธรรมชาติ ทั้งหลายนั่นเอง
ธรรมในพระไตรลักษณ์หมายถึงสภาวธรรมหรือธรรมชาติอันครอบคลุมทุกสรรพสิ่งอันย่อมหมายรวม พระนิพพาน ด้วย ดังกล่าวข้างต้น
ขยายความพระไตรลักษณ์ เพื่อความเข้าใจในพระนิพพาน
๑. อนิจจตา ความไม่เที่ยง แปรปรวน ผันแปร ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ภาวะที่เกิดแล้วต้องเสื่อมหรือแปรปรวนไป
ดังนั้นสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง จึงหมายถึง สังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอันล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงล้วนไม่เที่ยง มีการผันแปร ปรวนแปรเป็นอาการธรรมดาไปตามเหตุปัจจัยที่มาประชุมรวมกันนั้น ไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้อย่างแท้จริง การควบคุมบังคับได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ถือว่าควบคุมบังคับได้อย่างแท้จริง
๒. ทุกขตา ความทนอยู่ไม่ได้ เป็นสภาวะที่สุดของการแปรปรวน กล่าวคือ ต้องสลายตัวดับไปเป็นที่สุด, เป็นภาวะที่เกิดจากการถูกบีบคั้นจํายอมจากสภาวะของอนิจจตาที่แปรปรวนเป็นธรรมดาอยู่ตลอดเวลาที่เกิดขึ้น มองไม่ออกให้พิจารณาอะตอมที่มีอิเลคตรอนวิ่งรอบๆอย่างแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา จนดับไปเป็นที่สุด
อันเนื่องจากเกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆหลากหลายมาประชุมกัน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริงนั่นเอง จึงมีความไม่สมบูรณ์แอบแฝงอยู่ จึงต้องแปรปวน และจนดับไปเช่นนี้เป็นธรรมดา เป็นสภาวธรรมหรือกฎธรรมชาติหรืออสังขตธรรม อันมีความเที่ยงและคงทนต่อทุกกาล(อย่าสับสนกับสังขาร ที่ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้)
ความแปรปรวนและการดับไปเหล่านั้น จึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นอุปาทานทุกข์แก่ผู้เข้าไปอยากด้วยตัณหา จึงไปยึดด้วยอุปาทานตามความพึงพอใจของตัวของตน
ดังนั้น สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ จึงหมายถึง สังขารหรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง หรือมีการปรุงแต่งขึ้น อันล้วนเกิดแต่เหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน จึงไม่เที่ยง จึงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปในที่สุด ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างแท้จริง, สังขารทั้งหลายจึงเป็นทุกข์ถ้าไปอยากหรือไปยึดเพราะไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ตามใจปรารถนาอย่างแท้จริง
๓. อนัตตตา ธรรม หรือสภาวธรรม หรือสภาวธรรมชาติทั้งหลายล้วนไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นแก่นแกนถาวรอย่างแท้จริง จึงหมายครอบคลุมถึงสังขารทั้งหลายทั้งปวงด้วย เพราะในบางขณะนั้นถึงจะมีตัวตนก็จริงอยู่ แต่ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยอันไม่เที่ยงมาประชุมกันชั่วขณะระยะหนึ่งเท่านั้น จึงย่อมต้องแปรปรวนจนคงอยู่ไม่ได้ตลอดไป ดังเพราะว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย ดังนั้นจึงต้องแปรปรวนและดับไปตามเหล่าเหตุปัจจัยนั้น ตัวตนที่ถึงแม้มีอยู่ขณะนั้นก็จริงอยู่จึงต้องดับไปในที่สุด ไม่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริงถาวรตลอดไป
ดังนั้นธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตตา จึงหมายถึง ธรรมหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงซึ่งหมายครอบคลุมทุกๆสรรพสิ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น ว่าโดยตามความจริงขั้นสูงสุดแล้ว(ปรมัตถ์) ไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นแก่นแท้ๆ ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย, นิพพานหรือสภาวธรรมชาติทั้งหลายอันเป็นอสังขตธรรม ที่ไม่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่ง แต่ก็ล้วนเป็นอนัตตาเป็นเพียงสภาวธรรม(อ่านรายละเอียดในอนัตตา ที่แจงสภาพทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน), เมื่อเหตุปัจจัยดับ ธรรม(สิ่ง)นั้นก็ดับ, ดังนั้นจึงมีตัวตนขณะมีเหตุปัจจัย หรือไม่มีตัวตนเมื่อเหตุปัจจัยดับ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่ามีตัวตนอยู่แค่ชั่วขณะระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ขึ้นอยู่กับพิจารณาในมุมมองขณะใด แต่ที่สุดเมื่อเหตุปัจจัยดับ ธรรมหรือสิ่งนั้นก็ต้องดับไปด้วย ท่านจึงกล่าวว่าไม่มีแก่นสารหรือไม่มีแก่นแกนแท้ๆ จึงไม่มีค่าให้ไปยึดไปอยาก กล่าวคือเพราะไม่สามารถคงทนอยู่ได้อย่างถาวรแท้จริง ไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้อย่างแท้จริง จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้นเป็นที่สุด
ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา จึงหมายครอบคลุมถึงทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลล้วนเป็นอนัตตาโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น "พระนิพพาน" เป็นอสังขตธรรมหรือสภาวธรรมชาติเท่านั้น จึงไม่เป็นอนิจจตาและไม่เป็นทุกขตา(เพราะท่านหมายเฉพาะสังขาร) แต่เป็นอนัตตา(เพราะเป็นธรรมอย่างหนึ่งหรือสภาวธรรมอย่างหนึ่ง), และมีการกล่าวไว้อย่างชัดเจนดังคํากล่าวที่ได้ยินกันเสมอๆว่า
นิพพานเป็นอนัตตา นิพพาน ก็คือ สภาวะนิโรธ ที่แปลว่าการดับทุกข์ คือสภาวะที่ไม่คับแค้น ไม่ข้องขัดใจ หรือสภาพที่ไม่เร่าร้อน เผาลน กระวนกระวาย อันล้วนเนื่องมาจากไฟของ โมหะ โลภะ โทสะ หรือถ้าพิจารณาในแนวทางปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ไม่เร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของ กิเลส(อาสวะกิเลส) ตัณหา อุปาทาน อันยังให้เกิดอุปาทานขันธ์๕ในชรา อันเป็นอุปาทานทุกข์หรือความทุกข์ที่แท้จริงชนิดที่สามารถดับได้ด้วยธรรมของพระองค์ท่านนั่นเอง
จากที่กล่าวว่า นิพพานเป็นธรรมชนิดอสังขตธรรมหรือสภาวธรรม(ธรรมชาติ)อันจริง แท้ แน่นอน, ถ้าไม่โยนิโสมนสิการโดยละเอียดและแยบคาย มักจะยังความสงสัยหรือวิจิกิจฉาในที่สุดว่า สภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติอื่นๆ ดังเช่น ฝนตก ฟ้าร้อง พระอาทิตย์ขึ้นและตก แม้แต่ธรรมะ ฯลฯ. ก็ไม่ล้วนเป็นดั่งเช่นนิพพานหรือ? คือไม่เป็นอนิจจังและทุกขังดังเช่นนิพพาน? เพราะต่างก็ล้วนเป็นสภาวธรรมชาติอันจริง แท้ แน่นอนทั้งนั้น! ความจริงแล้วอสังขตธรรมหรือธรรมชาติเหล่านั้นก็ล้วนเป็นอนัตตาเช่นกัน กล่าวคือปรากฏการณ์เหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่เช่นนี้ตลอกกาลนาน ส่วนสังขาร(สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น)ของธรรมชาติทั้งหลายเหล่านั้น อันเกิดขึ้นล้วนแต่จากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัยอยู่นั่นเอง จึงยังมีการเกิดๆดับๆคือไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องดับไปอยู่ตลอดเวลา ลองพิจารณาพระอาทิตย์ขึ้น ฝนตก ลมพัด แม้แต่ธรรมคําสอนทั้งหลายทั้งปวง กล่าวคือสภาวธรรมทั้งหลายนั้นแม้ยังคงมีความจริง แท้ แน่นอน แต่ก็คงล้วนเป็นอนัตตาไม่มีตัวไม่มีตน ที่หมายถึง ไม่เป็นแก่นแกนแท้จริง เป็นเพียงสภาวธรรมหรือสภาวะแห่งธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาตินั่นเอง แต่เมื่อปรากฎขึ้นเป็นตัวเป็นตนของสังขาร คือการเกิดของสังขารของสภาวธรรมที่กล่าวถึงนั้น หมายถึงเมื่อเป็นสังขารสิ่งปรุงแต่งแล้ว ดังเช่น ฝนที่กำลังตกลงมาเป็นเม็ดฝนให้สัมผัสได้นั้น จะเห็นว่าเกิดแต่เหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน เช่น นํ้า ความร้อนจากดวงอาทิตย์ การระเหย การรวมตัว อุณภูมิที่แตกต่างกัน การกลั่น แรงดึงดูดของโลก ฯลฯ. ที่เกิดขึ้นต่างๆเหล่านั้นมาเป็นปัจจัยกัน อันเมื่อเกิดเป็นปรากฎเป็นตัวตน จึงเป็นสังขารขึ้น จึงยังคงต้องมีการเกิดๆดับๆเป็น อนิจจัง ทุกขัง, ลองโยนิโสมนสิการที่จุดนี้ เพราะยากแก่การเข้าใจ ยากต่อการบรรยายเป็นคำพูดภาษาสมมุติใดๆ พระอนัตตาจึงเป็นปัญหาที่ถกเถียงและเข้าใจได้ยากกันมาโดยตลอด